|
ASPS ระบุขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 1 ต.ค.65 หนุนบริโภคฟื้น เป็นผลดีต่อหุ้นกลุ่ม Domestic Consumption แนะหุ้นค้าปลีก เช่าซื้อ ท่องเที่ยว อาหาร-เครื่องดื่ม บริษัทหลักทรัพย์ เอเซียพลัส จำกัด (ASPS) เปิดเผยผ่านบทวิจัยว่า การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ มีผล 1 ต.ค.65 ในมุมมองของฝ่ายวิจัยฯ ถือเป็นแรงหนุนการบริโภคในประเทศให้มีแนวโน้มฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง หลังจากที่ไทยเริ่มการกลับมาเปิดประเทศ และการผ่อนคลายมาตรการโควิด-19 ทำให้ภาคการท่องเที่ยวเริ่มกลับมาคึกคักอีกครั้งหนุนนักท่องเที่ยวเข้าประเทศมากขึ้น โดยธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) คาดจะมีนักท่องเที่ยวราว 10 ล้านคน บวกกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐฯ ถือเป็นผลดีต่อหุ้นกลุ่ม Domestic Consumption อย่างกลุ่มค้าปลีก HMPRO, CPALL,CRC กลุ่มเช่าซื้อ TIDLOR AEONTS กลุ่มท่องเที่ยว AOT ERW CENTEL BEM และกลุ่มธุรกิจอาหาร-ครื่องดื่ม (F&D) อาทิ M, CBG เป็นต้น โดยสรุป เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อต่อเนื่อง จากมาตรการกระตุ้นภาครัฐ โดยมาตรการปรับเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำที่จะมีผล 1 ต.ค.65 ฝ่ายวิจัยคาดว่าจะส่งผลให้การบริโภคภายในประเทศของไทยเริ่มกลับมาคึกคักมากขึ้น เป็นผลดีต่อหุ้นกลุ่ม Domestic Consumption ทั้งนี้กระทรวงแรงงาน มีมติปรับค่าจ้างขั้นต่ำปี 2565 ซึ่งแบ่งเป็น 9 อัตรา ดังนี้ • ปรับขึ้นสูงสุด 354 บาท = ชลบุรี ระยอง ภูเก็ต • ปรับขึ้นต่ำสุด 328 บาท = ยะลา ปัตตานี นราธิวาส น่าน และอุดรธานี • กรุงเทพฯและปริมณฑล อยู่ที่ 353 บาท ซึ่งการปรับเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำครั้งนี้ มีอัตราค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 337 บาท หรือเป็นการปรับเพิ่มขึ้น 5.02% (ค่าจ้างขั้นต่ำในกรุงเทพฯ และปริมณฑล 353 บาท) โดยจะมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2565 เป็นต้นไป โดยหากย้อนดูสถิติในอดีตตั้งแต่ปี 2011-ปัจจุบัน พบว่า กระทรวงแรงงานมีการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำมาแล้ว 6 ครั้ง ซึ่งหากไม่นับปี 2012 ที่มีการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำในจังหวัดกรุงเทพฯ และปริมณฑลจาก 215 บาท/วัน เป็น 300 บาท/วัน(ปรับขึ้น 39.5%) จะเห็นได้ว่าการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำในปี 2022 ที่ปรับขึ้น 6.6% นั้นมากกว่าการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำในอดีตที่ส่วนใหญ่ปรับขึ้นราว 2%-4% เท่านั้น |



