ครม. ขยายเยียวยา ผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม 9 กิจการ 13 จังหวัดแดงเข้ม จ่ายเงิน 2 เดือน ส่วนอีก 16 จังหวัดที่เพิ่มมา ได้เดือนเดียว
จากกรณี นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ระบุว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีวันนี้ เห็นชอบขยายขอบเขตมาตรการบรรเทาผลกระทบและให้ความช่วยเหลือกลุ่มแรงงาน ผู้ประกอบการ พื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2564 พร้อมขยายกรอบวงเงินการให้ความช่วยเหลือ เพิ่มเป็น 60,000 ล้านบาท จากเดิม 30,000 ล้านบาท
สำหรับรายละเอียดในมาตรการช่วยเหลือนี้คือ
- เพิ่มพื้นที่ดำเนินการจากเดิม 13 จังหวัด เป็น 29 จังหวัด ซึ่งเป็นสีแดงเข้ม ที่ ศบค. ได้ประกาศออกมาก่อนหน้านี้ คือ กทม. กาญจนบุรี ชลบุรี ฉะเชิงเทรา ตาก นครปฐม นครนายก นครราชสีมา นราธิวาส นนทบุรี ปทุมธานี ประจวบคีรีขันธ์ ปราจีนบุรี ปัตตานี อยุธยา เพชรบุรี เพชรบูรณ์ ยะลา ระยอง ราชบุรี ลพบุรี สงขลา สิงห์บุรี สมุทรปราการ สมุทรสงคราม สมุทรสาคร สระบุรี สุพรรณบุรี และอ่างทอง
- กลุ่มเป้าหมายให้ความช่วยเหลือ ยังคงครอบคลุมกลุ่มแรงงานและผู้ประกอบการ ในกิจการที่ได้รับผลกระทบจากโควิด ทั้งในส่วนที่อยู่ในระบบประกันสังคม และไม่อยู่ในระบบประกันสังคม
- สำหรับกิจการที่จะให้ความช่วยเหลือ เป็นกิจการในระบบประกันสังคม ครอบคลุม 9 สาขา ได้แก่ ก่อสร้าง, ที่พักแรมและบริการด้านอาหาร, ศิลปะ บันเทิงและนันทนาการ, กิจกรรมการบริการด้านอื่นๆ, สาขาการขนส่งและสถานที่เก็บสินค้า, สาขาการขายส่งและการขายปลีก การซ่อมยานยนต์, สาขากิจกรรมการบริหารและบริการสนับสนุน, สาขากิจกรรมวิชาชีพ วิทยาศาสตร์และกิจกรรมวิชาการ และ สาขาข้อมูลข่าวสารและการสื่อสาร รวมถึงกลุ่มผู้ประกอบการในระบบ “ถุงเงิน” ภายใต้โครงการคนละครึ่งและโครงการเราชนะ ที่ผ่านการคัดกรองแล้ว และไม่เป็นผู้ถูกตัดสิทธิ์จากกระทรวงการคลัง จำนวน 5 กลุ่ม
- ส่วนรูปแบบการให้ความช่วยเหลือ ให้เป็นไปตามมติ ครม. เมื่อวันที่ 20 ก.ค. 64
- ระยะเวลาการให้ความช่วยเหลือ กลุ่ม 13 จังหวัดเดิม เป็นเวลา 2 เดือนคือ ก.ค.-ส.ค. 64 และ กลุ่ม 16 จังหวัดที่เพิ่มเติมเข้ามาใหม่ 1 เดือน คือ ส.ค. 64
- ส่วนการช่วยเหลือ ผู้ขับรถยนต์รับจ้าง (รถแท็กซี่) และรถจักรยานยนต์สาธารณะที่มีอายุเกิน 65 ปี ที่ไม่สามารถสมัครเป็นผู้ประกันตนมาตรา 40 ทำให้ไม่สามารถได้รับเงินเยียวยานั้น มีการมอบหมายให้กระทรวงแรงงาน จัดทำข้อเสนอโครงการเพื่อนำเข้าที่ประชุมเพื่อให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาในโอกาสต่อไป