ผู้ตรวจการแผ่นดินเร่งหารือปัญหาประมงไทยผิดกฎหมาย IUU เตรียมชงข้อเสนอผู้ตรวจการแผ่นดินโลก สะท้อนวิถีชีวิตปชช.
อังคารที่ 30 มีนาคม 2564 เวลา 16.52 น.
เมื่อวันที่ 30 มี.ค. ที่สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน พล.อ.วิทวัส รชตะนันทน์ ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน พร้อมด้วย พ.ต.ท.กีรป กฤตธีรานนท์ เลขาธิการสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน และผู้บริหารสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน จัดการประชุมหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหาประมงไทยภายใต้กฎหมายประมง โดยมีผู้เข้าร่วมประชุม อาทิ นายวิชาญ อิงศรีสว่าง รองอธิบดีกรมประมง, นายสมชาย สุมนัสขจรกุล รองอธิบดีกรมเจ้าท่า, พล.ร.ท.มนตรี รอดวิเศษ รองเลขาธิการศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล (ศรชล.), นายวีระพันธุ์ ทองมาก ผู้อำนวยการส่วนฟื้นฟูทรัพยากรทางทะเล กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง, นายมนตรี มณีรัตน์ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านคุ้มครองแรงงาน กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน และนายกำจร มงคลตรีลักษณ์ ประธานสมาคมการประมงแห่งประเทศไทย ทั้งนี้ เพื่อนำไปสู่การจัดทำแผนแก้ไขปรับปรุงกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ ที่อาจสร้างภาระแก่ประชาชนที่ประกอบอาชีพประมงในประเทศไทย รวมถึงสามารถบริหารจัดการภาคอุตสาหกรรมประมงได้อย่างยั่งยืน ซึ่งผู้ตรวจการแผ่นดินไทยในฐานะที่มีบทบาทเป็น 1 ใน 5 คณะกรรมการบริหารของสถาบันผู้ตรวจการแผ่นดินระหว่างประเทศ หรือ IOI จะนำข้อเท็จจริงและข้อเสนอแนะจากกรณีนี้เข้าหารือระหว่างองค์กรผู้ตรวจการแผ่นดิน เพื่อให้สถาบันผู้ตรวจการแผ่นดินระหว่างประเทศเสนอแนะการแก้ไขปัญหา IUU ไปยังคณะกรรมาธิการประมงขององค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ เป็นการสะท้อนถึงการรักษาและอนุรักษ์ไว้ซึ่งวิถีชีวิต ผลประโยชน์ และสิทธิเสรีภาพของประชาชน

โดย พล.อ.วิทวัส กล่าวว่า สืบเนื่องจากผู้ตรวจการแผ่นดินได้รับทราบปัญหาเกี่ยวกับการทำประมงอย่างต่อเนื่อง จนได้หยิบยกปัญหานี้ขึ้นมาศึกษาถึงปัญหา อุปสรรค และผลกระทบของการทำประมงภายใต้กฎหมายประมงในภาพรวมของประเทศ ซึ่งหลายประเด็นมีการสืบเนื่องจากการออกกฎหมายหรือข้อบังคับให้รับลูกกับระเบียบ IUU ที่กดดันประเทศไทยในช่วงปี 2558 แต่อาจไม่สอดคล้องกับวิถีชีวิตประมงพื้นบ้านและประมงพาณิชย์อย่างแท้จริง นอกจากนี้ผู้ตรวจการแผ่นดินยังได้ลงพื้นที่แสวงหาข้อเท็จจริงในโซนประมงภาคใต้ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมประมงในจังหวัดปัตตานีซึ่งเป็นหนึ่งในแหล่งประมงสำคัญของประเทศไทยนั้นซบเซาลงมาก จากเดิมในปี 2558 มีเรือกว่า 1,100 ลำ เข้า-ออก ในน่านน้ำปัตตานี แต่ในระหว่างดือน ต.ค. 2563 – ก.พ. 2564 เหลือเพียง 437 ลำ มีผู้ประกอบการได้รับความเสียหายต่อเนื่องกันเป็นลูกโซ่ ตั้งแต่อาชีพบนเรือจนถึงอาชีพบนฝั่ง เช่น พ่อค้าแม่ค้าตลาดปลา โรงน้ำแข็ง ห้องเย็น อู่ซ่อมเรือ และโรงกลึง

พล.อ.วิทวัส กล่าวอีกว่า ประเด็นปัญหาหลัก ได้แก่ กรมประมงกำหนดวันทำการประมงไว้เฉลี่ย 240 วันต่อปี ในขณะที่ชาวประมงต้องรับภาระจ่ายค่าแรงคนงานเป็นรายเดือน นับเป็นจำนวน 365 วัน ซึ่งขณะนี้กรมประมงอยู่ระหว่างแก้ไขประกาศที่จะกำหนดวันทำการประมงเพิ่มขึ้น รวมทั้งปัญหาแรงงานประมงขาดแคลน จากการจ้างแรงงานต่างด้าวมีขั้นตอน กระบวนการ และระยะเวลาในการทำบัตรแรงงานค่อนข้างนาน ประมาณ 100 วันทำการ และมีค่าธรรมเนียมใบอนุญาตต่าง ๆ สำหรับแรงงานต่างด้าวที่ค่อนข้างสูงกว่า 19,000 บาท และค่าใช้จ่ายในการทำพาสปอร์ต 5,000 – 10,000 บาท ซึ่งเป็นภาระและค่าใช้จ่ายของนายจ้าง สมาคมการประมงจังหวัดปัตตานีจึงขอให้มีการเปิดขึ้นทะเบียนแรงงานต่างด้าวตลอดปี ซึ่งกรมประมงอยู่ระหว่างการดำเนินการพิจารณาแก้ไขและที่ผ่านมาได้มีการแก้ไขกฎหมายเพื่อผ่อนคลายแนวทางการปฏิบัติแล้ว นอกจากนั้นยังมีปัญหาการบังคับใช้กฎหมายที่ส่งผลกระทบด้านเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งชาวประมงที่กระทำความผิดมีทั้งโดยไม่เจตนา หรือการลงเอกสารผิดพลาด หรือความผิดเล็กน้อย ควรพิจารณาบทลงโทษตามความเหมาะสมเพื่อเป็นการผ่อนคลายและยังทำให้ชาวประมงยังคงประกอบอาชีพต่อไปได้ นอกจากนี้ ยังมีประเด็นการขุดลอกร่องน้ำ ซึ่งเป็นปัญหาเรื้อรังของจังหวัดปัตตานี ปัญหาการซื้อเรือออกนอกระบบ และปัญหาความเสื่อมโทรมของทรัพยากรทางทะเลที่ลดลงอย่างรวดเร็ว

พล.อ.วิทวัส กล่าวเพิ่มเติมว่า สิ่งที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง คือ การฟื้นฟูทรัพยากรทางทะเลให้กลับมาอุดมสมบูรณ์ยั่งยืน ทั้งภาคประชาสังคมและหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องต้องบูรณาการร่วมกันส่งเสริมองค์ความรู้และงบประมาณด้านประมงท้องถิ่นในการสร้างศูนย์เพาะพันธุ์สัตว์น้ำที่เป็นสัตว์เศรษฐกิจประจำถิ่น ส่งเสริมชุมชนชาวประมงในการเพาะพันธุ์สัตว์น้ำให้เหมาะสมกับถิ่นที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำแต่ละชนิด ถือหลักการที่ว่าจับมาและต้องปล่อยไป เพื่อเป็นการอนุรักษ์พันธุ์สัตว์น้ำให้มีโอกาสเติบโตและขยายพันธุ์ต่อไป ทำให้ธรรมชาติและการประมงไทยอยู่คู่เคียงกันอย่างสมดุลยั่งยืน.
คุณเห็นด้วยกับข่าวนี้หรือไม่
-
เห็นด้วย
0%
-
ไม่เห็นด้วย
0%



