
“สินิตย์” สั่งการกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ขับเคลื่อนนโยบาย “ตลาดนำการผลิต” ผนึกกำลังทูตพาณิชย์และพาณิชย์จังหวัดชายแดนใต้ จัดสัมมนาออนไลน์เร่งช่วยสร้างรายได้ให้เกษตรกรและผู้ประกอบการ หนุนส่งออกของดีในพื้นที่ ทั้งผลไม้ อาหารทะเลแปรรูป ผลิตภัณฑ์ยางพารา และผ้าบาติก เจาะตลาดมาเลเซีย อาเซียน และตลาดสินค้าฮาลาล พร้อมใช้ประโยชน์ FTA สร้างแต้มต่อทางการค้าในตลาดโลก
วันที่ 9 สิงหาคม 2564 นายสินิตย์ เลิศไกร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยในโอกาสเป็นประธานเปิดงานสัมมนาออนไลน์ เรื่องรู้ลึกก่อนใคร โอกาสการค้าชายแดนใต้สู่ตลาดการค้าเสรีอาเซียน พร้อมทั้งปาฐกถาพิเศษ เรื่องชี้ช่องเพิ่มโอกาสการค้าของจังหวัดชายแดนใต้กับตลาดอาเซียนว่า มอบหมายให้กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศร่วมกับทูตพาณิชย์และพาณิชย์จังหวัดใน 4 จังหวัดชายแดนใต้ ได้แก่ สงขลา ยะลา ปัตตานี และนราธิวาส เร่งช่วยหาช่องทางให้ใช้ประโยชน์จากความตกลงการค้าเสรี (FTA) ขยายตลาดไปต่างประเทศ ตามนโยบายตลาดนำการผลิต
“การจัดสัมมนาครั้งนี้ ได้ระดมวิทยากรผู้เชี่ยวชาญทั้งจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ผู้ส่งออกรายใหญ่ นักการตลาด ทูตพาณิชย์ ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ผู้ช่วยเลขาธิการ ศอ.บต. และพาณิชย์จังหวัด 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ มาแลกเปลี่ยนข้อมูลโอกาสทำธุรกิจและการส่งออกสินค้าที่มีศักยภาพในพื้นที่ เช่น ผลไม้ (ทุเรียน ส้มโอ เงาะ ลองกอง มังคุด) อาหารทะเลแปรรูป ผลิตภัณฑ์ยางพารา และผ้าบาติก เป็นต้น”
“เน้นตลาดมาเลเซีย อาเซียน และตลาดสินค้าฮาลาล พร้อมชี้ช่องการใช้สิทธิประโยชน์จาก FTA สร้างแต้มต่อขยายส่งออกสินค้าจากที่ประเทศคู่ค้าได้ลดและยกเลิกการจัดเก็บภาษีศุลกากรให้สินค้าไทยแล้วเกือบทุกรายการ”
ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์มีความตั้งใจและมุ่งมั่นส่งเสริมให้เกษตรกรสามารถผลิตสินค้าที่ตอบโจทย์ของตลาด เน้นเรื่องคุณภาพและความปลอดภัยของสินค้า สามารถตรวจสอบย้อนกลับวิธีการผลิตและแหล่งผลิตได้ โดยเฉพาะสินค้าอาหารที่ต้องมีใบรับรองด้านมาตรฐานเพื่อจะช่วยให้มีตลาดรองรับ ผู้บริโภคเชื่อมั่น ซึ่งจะช่วยให้สามารถจำหน่ายสินค้าได้ในราคาสูง
“เชื่อมั่นว่าผู้เข้าร่วมสัมมนาฯ จะสามารถนำความรู้ที่ได้รับไปปรับใช้และต่อยอดสำหรับวางแผนหาโอกาสจากตลาดใหม่ๆ และเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันส่งออก ช่วยให้เกษตรกรและผู้ประกอบการมีรายได้เพิ่มขึ้น รวมทั้งใช้ประโยชน์จาก FTA เป็นเครื่องมือสำคัญในการแข่งขันทางการค้าขยายส่งออกไปตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะตลาดสินค้าฮาลาลที่มีประชากรสูงกว่า 2,000 ล้านคน” นายสินิตย์เสริม
ทั้งนี้ ในปี 2563 การค้าไทยกับอาเซียนมีมูลค่าสูงถึง 1.1 แสนล้านเหรียญสหรัฐ เป็นการส่งออกมูลค่า 6.3 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ และเมื่อเปรียบเทียบการส่งออกปี 2563 กับปีก่อนที่ความตกลงการค้าเสรีอาเซียนมีผลบังคับใช้ พบว่าการค้าของไทยกับอาเซียนขยายตัวถึง 843% และการส่งออกขยายตัวสูงถึง 1,135%
สำหรับในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2564 การค้าไทยกับอาเซียนมีมูลค่า 45,267.41 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยไทยส่งออกมูลค่า 26,224.69 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นสัดส่วน 24.14%
ทั้งนี้ หากความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (อาร์เซ็ป) มีผลบังคับใช้ในต้นปี 2565 จะเป็นอีกหนึ่ง FTA สำคัญที่ช่วยให้ผู้ประกอบการและเกษตรกร สามารถใช้ประโยชน์จากการขยายการส่งออกไปตลาดสำคัญของไทย ทั้งอาเซียน จีน เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ เพิ่มเติมจาก FTA ที่มีอยู่แล้ว



