ผศ.ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านนิเวศทางทะเล และรองคณบดี คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เปิดเผยถึงกรณีพบหินภูเขาไฟลอยเข้ามาที่ชายหาดฝั่งอ่าวไทยตอนล่างหลายจังหวัด อาทิ นครศรีธรรมราช สงขลา ปัตตานี และนราธิวาส ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว Thon Thamrongnawasawat ระบุว่า
“กรมทรัพยากรทางทะเลตรวจสอบแล้ว พบว่าเป็นหินมีรูพรุน สีเทา น้ำหนักเบา ลอยน้ำได้ ขนาด 0.3-3 เซนติเมตร น่าจะเป็นหินพัมมิช (Pumice) หรือหินภูเขาไฟ
คำถามน่าสนใจ มาจากไหน ? เพราะในอ่าวไทยไม่มีภูเขาไฟ
เมื่อลองเช็คข้อมูลการระเบิดทั่วโลกในช่วงผ่านมา อาจเป็นไปได้ว่ามาจากอินโดนีเซียที่มีการระเบิดหลายแห่งในช่วงมกราคม/ต้นเดือนกุมภาพันธ์
หินแบบนี้ลอยน้ำได้ไกล และลอยรวมอยู่เป็นแพ เมื่อลมจากทะเลจีนใต้พัดเข้าหาฝั่ง จึงเข้ามาพร้อมกันเป็นจำนวนมาก
เนื่องจากหินลอยอยู่บนผิวน้ำ และไม่ได้แตกตัวละลายลงไปในน้ำ จึงไม่น่าจะมีผลกระทบกับสัตว์น้ำในทะเลหรือตามพื้นท้องทะเล
เมื่อหินมากองบนฝั่ง อาจมีผลต่อสัตว์ขนาดเล็กบนชายหาดบ้าง แต่คงไม่มากเท่าไหร่
สำหรับกิจกรรมผู้คนชายฝั่ง เช่น ประมง เดินเรือ คงไม่ได้รับผลกระทบมากมาย เพราะไม่ได้มีเต็มทะเล
นำมาให้เพื่อนธรณ์ดูเพราะนาน ๆ มาสักครั้ง ไม่ต้องตระหนกตกใจ ไม่ได้เป็นสัญญาณบอกเหตุใดๆ เพราะภูเขาไฟระเบิดไปนานแล้วหินถึงลอยมาถึงบ้านเรา
อ่าวไทยไม่มีภูเขาไฟ ใกล้สุดต้องไปทางอินโดนีเซีย หากเกิดอะไรขึ้น คลื่นสึนามิใช้เวลาหลายชั่วโมงกว่าจะมาถึงบ้านเรา และคงมีขนาดไม่ใหญ่นักครับ”
จากกรณีเดียวกัน นายสนั่น พงษ์อักษร ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส พร้อมคณะได้ลงพื้นที่สำรวจหินภูเขาไฟที่ถูกคลื่นซัดขึ้นมากองตลอดแนวชายหาดบ้านทอน
ด้าน นางสาวราตรี สุขสุวรรณ์ผอ.ศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอ่าวไทยตอนล่าง เปิดเผยว่า จากการตรวจสอบพบว่าเป็นหินขนาดเล็ก มีรูพรุนชัดเจน น้ำหนักเบา สีเทาปนเขียว ขนาดอนุภาคตะกอนประมาณ 0.3 – 3 เซนติเมตร ลักษณะคล้ายหินพัมมิช (Pumice) หรือที่เรียกว่าหินภูเขาไฟ เป็นหินประเภท หินอัคนีพุ มีลักษณะเนื้อเป็นฟองและเบา ซึ่งเกิดจากการเย็นตัวของหินหลอมเหลว และแร่ธาตุต่างๆ ใต้พื้นโลก
โดยพบกระจายทั่วไปตลอดแนวชายหาดจังหวัดสงขลา พบมากในพื้นที่ 8 ตำบล ชายฝั่งทะเลของอำเภอสทิงพระ ได้แก่ วัดจันทร์ บ่อแดง บ่อดาน จะทิ้งพระ กระดังงา สนามชัย ดีหลวง และชุมพล รวมถึงจากการได้รับรายงานในพื้นที่อื่นๆ เช่น ชายหาดบ้านทอน (นราธิวาส) ปะนาเระ (ปัตตานี) และหัวไทร (นครศรีธรรมราช) นอกจากนี้ยังพบหินประเภทเดียวกันนี้ลอยเกลื่อนเป็นแพตามผิวหน้าน้ำทะเล จากการสอบถามชาวบ้านยังไม่มีข้อมูลผลกระทบต่อสัตว์น้ำในบริเวณดังกล่าว