นายแพทย์ สสจ.ภูเก็ต เผย คณะผู้แสวงบุญอุมเราะห์ไทยเดินทางกลับจากประเทศซาอุดีอาระเบียสู่ประเทศไทยผ่านโครงการ “Test&Go” มีผู้ติดเชื้อโควิด-19 จำนวน 5 ราย เป็นผู้ป่วยสีเขียว รักษาตัวในจังหวัดภูเก็ต 5 วัน ก่อนเดินทางกลับไปรักษาตัวต่อที่ จ.ปัตตานี
วันนี้ (19 ธ.ค.64) นพ.กู้ศักดิ์ กู้เกียรติกูล นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดภูเก็ต เปิดเผยว่า คณะผู้แสวงบุญอุมเราะห์ไทย จำนวน 137 คน เดินทางกลับจากประเทศซาอุดีอาระเบียสู่ประเทศไทยผ่านโครงการ “Test&Go” เมื่อวันที่ 13 ธ.ค. ที่ผ่านมา ตรวจพบผู้ติดเชื้อ 5 ราย ซึ่งทั้ง 5 รายนี้ ได้กักตัวและเข้ารับการรักษาในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต โดยอยู่ในความดูแลของทีมแพทย์อย่างใกล้ชิดตลอดระเวลาที่อยู่ภูเก็ต เป็นเวลา 5 วัน
ทั้งนี้ เนื่องจากทั้ง 5 ราย เป็นกลุ่มผู้ป่วยสีเขียวที่ไม่มีอาการ จึงได้ขอเดินทางกลับไปรักษาในพื้นที่ชายแดนใต้ โดย สสจ.ภูเก็ตได้ประสานกับจังหวัดปลายทาง ให้ผู้ป่วยกลุ่มนี้ได้กลับไปรักษาภายใต้การดูแลจากทีมแพทย์ตามมาตราการระดับจังหวัดอย่างเข้มงวด ต่อมาในวันที่ 17 ธ.ค. ได้รับแจ้ง จากศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ภูเก็ต ว่า 1 ใน 5 ราย เป็นผู้ติดเชื้อสายพันธุ์โอมิครอน หลังจากที่ได้เดินทางกลับไปรักษาตัวในพื้นที่แล้ว
ภาพจาก ผู้สื่อข่าว จ.ยะลา
สำหรับผู้แสวงบุญอุมเราะห์คณะนี้ ได้มีการตรวจ RT-PCR ที่ซาอุดีอาระเบียก่อนเดินทางกลับมายังประเทศไทย และได้ตรวจหาเชื้อตามมาตรการของจังหวัดภูเก็ตอีกครั้งที่สนามบินภูเก็ต หากเป็นผู้สัมผัสเสี่ยงได้เข้าสู่กระบวนการของกระทรวงสาธารณะสุขโดยกักตัว 14 วัน ส่วนผู้ที่ไม่ใช่ผู้สัมผัสเสี่ยงสูงและมีผลเป็นลบ ได้เดินทางกลับไปยังจังหวัดปลายทางแล้วทั้งหมด
ทั้งนี้ เพื่อสร้างความมั่นใจด้านการควบคุมและป้องกันโรค อย่างสูงสุดคณะผู้แสวงบุญได้กักตัวเองและสังเกตอาการต่อจนครบ 14 วัน เพื่อสร้างความปลอดภัยให้ตัวเองและสังคม และขอยืนยันว่าไม่ได้เป็นการแพร่ระบาดเชื้อในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต ดังนั้นขอให้พี่น้องประชาชนอย่าตื่นตระหนกและติดตามข้อมูลข่าวสารจากทางราชการอย่างใกล้ชิด
ภาพจาก สสจ.ภูเก็ต
ด้าน สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดปัตตานี ระบุว่า ได้รับการประสานข้อมูลจากจังหวัดภูเก็ต ว่ามีคนไทยเดินทางกลับมาจากประเทศซาอุดีอาระเบียลงที่เครื่องสนามบินภูเก็ต เมื่อวันที่ 13 ธ.ค.2564 จึงได้มีการกักตัวเพื่อตรวจหาเชื้อโควิด-19 พบว่า มี 1 รายติดเชื้อโควิด-19 สายพันธ์โอไมครอน (ทราบผล 17 ธ.ค.64)
โดยผู้ติดเชื้อขอเข้ารับการรักษาตัว ณ โรงพยาบาลโคกโพธิ์ ในกรณีนี้ ไม่ถือเป็นการพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 สายพันธ์โอไมครอนในจังหวัดปัตตานี แต่เป็นการพบเชื้อจากการเดินทางเข้าประเทศ จากจุดคัดกรองด่านเข้าประเทศ
ภาพจาก ผู้สื่อข่าว จ.ยะลา
สำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามายังประเทศไทย รวมถึงคนไทยที่เดินทางไปต่างประเทศ เมื่อประสงค์เดินทางเข้าประเทศไทย ทาง ศบค. ได้กำหนดให้ลงทะเบียนในระบบ Thailand pass โดยมีให้เลือกเดินทางเข้าประเทศไทยได้ 3 ช่อง ทาง คือ 1. ช่องทาง Test and Go 2. ช่องทาง Sandbox program 3. ช่องทาง Happy Quarantine scheme ทั้งนี้เพื่อเป็นมาตรการในป้องกันและควบคุมโรคระบาดโควิด-19
ปัจจุบันกลุ่มผู้แสวงบุญที่เดินทางกลับจากประเทศซาอุดีอาระเบีย เลือกลงทะเบียนในช่องทางที่ 1 คือ Test and Go และช่องทางที่ 2 คือ Phuket sandbox ตามมาตรการผู้แสวงบุญทุกคนต้องปฏิบัติคือ ก่อนออกเดินทางจะประเทศซาอุดีอาระเบีย จะต้องได้รับการตรวจ RT-PCR ทุกราย หากผลออกมาเป็นบวก (พบเชื้อ) จะต้องเข้ารับการรักษาตัวที่หน่วยงานการแพทย์ของประเทศซาอุดีอาระเบียทุกราย
ภาพจาก ผู้สื่อข่าว จ.ยะลา
หากผลออกเป็นลบ(ไม่พบเชื้อ) จึงสามารถเดินทางได้ และเมื่อผู้แสวงบุญเดินทางถึงสนามบินนานาชาติภูเก็ต จะได้รับการตรวจ RT-PCR อีกครั้ง เป็นมาตรการขั้นที่ 2 และผู้เดินทางจะต้องเข้าพักโรงแรมที่ลงทะเบียนในระบบ SHA+ เป็นเวลาอย่างน้อย 1 คืน หรือจนกว่าจะทราบผลตรวจ RT-PCR หากผลตรวจเป็นบวก (พบเชื้อ) จะได้รับประสานงานจากสาธารณสุขพื้นที่ เพื่อเข้ารับการดูแลตามมาตรฐานการแพทย์ หากผลตรวจเป็นลบ (ไม่พบเชื้อ) จะได้รับอนุญาตให้เดินทางต่อไปยังปลายทางได้
ในจำนวนผู้ร่วมเดินทางครั้งนี้ ผลตรวจ RT-PCR ที่ประเทศซาอุดีอาระเบีย เป็นลบ (ไม่พบเชื้อ) ทุกราย จึงสามารถเดินทางออกจากประเทศซาอุดีอาระเบียได้ และเมื่อมาถึงสนามบินนานาชาติภูเก็ตได้ตรวจ RT-PCR ซ้ำพบว่าเป็นบวก 5 ราย และได้ทำการตรวจยืนยันซ้ำด้วยวิธี RT-PCR อีกครั้งพบว่าเป็นบวกเพียง 3 ราย
โดยเป็นชาวปัตตานี 2 ราย และชาวนราธิวาส 1 ราย ซึ่งทางสาธารณสุขพื้นที่ได้ติดต่อประสานงานดูแลรักษาตามมาตรฐานการแพทย์อย่างต่อเนื่อง ส่วนผู้ร่วมเดินทางที่ผลตรวจ RT-PCR เป็นลบ ได้รับการกักตัวเพื่อสังเกตอาการในห้องพักต่ออีกจำนวน 5 วัน ซึ่งเลยระยะฟักตัวของเชื้อแล้ว อธิบายได้ว่าหากมีเชื้อในร่างกายจะแสดงอาการออกมาภายใน 3 วัน ดังนั้นหากเลยระยะฟักตัว 5 วัน คาดว่าจะไม่มีเชื้อโควิดแล้ว
ภาพจาก ผู้สื่อข่าว จ.ยะลา
สำหรับผู้สัมผัสเสี่ยงสูงทุกรายได้รับการตรวจ ATK ก่อนเดินทางกลับภูมิลำเนา ทั้งนี้เพื่อเป็นการเฝ้าระวังและรัดกุมมากขึ้น ทางสาธารณสุขได้แนะนำให้ผู้เดินทางทุกคนกักตัวเองต่อเนื่องจนครบ 14 วันเมื่อเดินทางกลับภูมิลำเนาของตัวเอง และทางสาธารณสุขจะส่งข้อมูลไปยังพื้นที่เพื่อร่วมติดตามอาการอย่างต่อเนื่อง
ซึ่งผู้เดินทางอุมเราะห์ครั้งนี้ทั้งหมด 137 คน แยกการเดินทางออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรก 50 กว่าคน และกลุ่ม2 จำนวน 70 กว่าคน
ทั้ง 2 กลุ่มแยกเดินทางคนละ วัน โดย “กลุ่มแรก” วันที่ 9 ธันวาคม ทางเจ้าหน้าที่สาธารณะสุขเมกกะได้ RT-CPR ผลตรวจออกมาเป็นลบ ภายใน 72 ชม. ก่อนเดินทางกลับออกจากซาอุฯ วันที่ 11 ธันวาคม ถึง ภูเก็ตวันที่ 12 ธันวาคม และเข้ากักตัวที่โรงแรม ตามมาตรการ Phuket sandbox จำนวน 5 วัน
ภาพจาก ผู้สื่อข่าว จ.ยะลา
จากนั้น วันที่ 17 ธันวาคม ทั้งหมด เดินทางกลับภูมิลำเนาพร้อมกักตัวที่บ้านอีก 14 วันตามมาตรการสาธารณะสุขทุกขั้นตอน โดยรวมจากการตรวจสอบข้อมูล ยังไม่พบผู้ติดเชื้อเพิ่มและทั้งหมดมีสุขภาพปกติทุกอย่าง
สำหรับการทำอุมเราะห์ เรียกง่ายๆ ว่า “การแสวงบุญเล็ก” ใช้เวลาประมาณ 15 วัน ต่างจากการทำ “ฮัจย์” หรือ “การแสวงบุญใหญ่” ซึ่งใช้เวลานานกว่า และกำหนดให้มุสลิมทุกคนที่มีความสามารถต้องปฏิบัติ แต่การทำอุมเราะห์นั้นไม่ได้เป็นภาคบังคับ หากมีโอกาสได้ไปและใช้เวลาอยู่ในมัสยิดฮารอมหลายวัน ก็จะยิ่งได้รับผลบุญมาก
ข้อมูลและภาพจาก สสจ.ภูเก็ต , สสจ.ปัตตานี , ผู้สื่อข่าว จ.ยะลา