จากเหตุการณ์รุนแรงที่เกิดขึ้น 17 จุด ในจังหวัดปัตตานี ยะลาและนราธิวาส เมื่อคืนวันที่ 17 สิงหาคม ที่มีทั้งระเบิดและไฟไหม้ในเวลาไล่เลี่ยกันทำให้เกิดสงสัยว่าคนร้ายมีเป้าหมายแบ่งแยกดินแดนปลายด้ามขวานของประเทศไทยหรือมุ่งหมายแค่ทำให้ธุรกิจสงครามดำเนินต่อไป เพื่อให้ทุกฝ่ายได้ประโยชน์จากความรุนแรงที่เกิดขึ้นต่อเนื่องยืดเยื้อยาวนานและผลประโยชน์เกิดกับทุกฝ่ายโดยสร้างเงื่อนให้กลายเป็นสถานการณ์ win-win ขึ้นมา
คือทางฝ่ายผู้ก่อความไม่สงบ ก็ยังคงมีรายได้จากธุรกิจผิดกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นยาเสพติดและน้ำมันเถื่อนเป็น
ไซด์ไลน์ แต่รายได้หลักยังได้รับจากบริจาคในฐานะญิฮาด หรือนักรบเพื่อศาสนา
นอกรายได้หลักจากสองแหล่งที่กล่าวมาแล้วผู้ก่อความไม่สงบยังมีรายได้จากการรับงานดิสเครดิตรัฐบาล จากการเมืองฝ่ายตรงข้ามเป็นครั้งคราว
นักวิชาการทางด้านความมั่นคงเปิดเผยกับแนวหน้าว่า ความรุนแรงที่เกิดเมื่อคืนวันที่ 17 สิงหาคม มันประจบกัน จากเหตุผลสามประการ ที่ทำให้ผู้ก่อความไม่สงบโจมตีเป้าหมายอ่อนแอคือร้านสะดวกซื้อ ปั๊มน้ำมัน และเสาส่งสัญญาณโทรศัพท์
“เหตุจูงใจในการโจมตีเป้าหมายอ่อนแอ คือ หนึ่ง แสดงให้เห็นว่าสามจังหวัดชายแดนใต้ยังไม่สงบ สอง แสดงความไม่พอใจที่ผลการเจรจาไม่คืบหน้า สาม ฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลผสมโรงให้ผู้ก่อเหตุร้ายโจมตีเป้าหมายเพื่อดิสเครดิตรัฐบาล ทำให้ดูเหมือนกับว่ารัฐบาลควบคุมสถานการณ์สามจังหวัดภาคใต้ไม่ได้”
แหล่งข่าวด้านความมั่นคง ผู้ไม่ประสงค์เปิดเผยนาม กล่าวด้วยว่า ผลการเจรจาเพื่อสันติสุขในภาคใต้คืบหน้าไปบางประการ เช่น ลดความรุนแรงในวันสำคัญทางศาสนา เปิดโอกาสให้สมาชิกบีอาร์เอ็นทั้งที่อยู่นอกประเทศและในประเทศได้ร่วมกิจกรรมกับครอบครัวที่บ้านในระหว่างการถือศีลอด
#“แต่ที่ทางฝ่ายเรา ยอมไม่ได้ คือ ฝ่ายบีอาร์เอ็น ต้องการให้ยกเลิกหมายจับในคดีอาญาทั้งหมดและขอให้
ต่างชาติจากประเทศตะวันตก ที่ผู้นำบีอาร์เอ็นและพูโลไปลี้ภัยอยู่ ได้เข้ามาร่วมวงเจรจาในฐานะผู้สังเกตการณ์”
ผู้เขียนเคยสัมภาษณ์ นายลุกมาน บิน ลิมา รักษาการประธานพูโล ในประเทศอินโดนีเซีย เมื่อปี 2547 นายลุกมาน ยอมรับว่า ตัวเขาและแกนนำพูโลส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในประเทศสวีเดนและยังมีรายงานว่านายลุกมาน บิน ลิมา มีชื่ออยู่ในคณะเจรจาครั้งนี้ด้วย
“นายลุกมาน บิน ลิมา มีชื่อเป็นหนึ่งในสิบของคณะผู้เจรจาฝ่ายบีอาร์เอ็นครั้งล่าสุดด้วย” อาจารย์ศรีสมภพ
จิตร์ภิรมย์ศรี จากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ฯบอกกับแนวหน้า
อ.ศรีสมภพ ผู้ศึกษาวิจัยเรื่องความรุนแรงในภาคใต้มากว่า 15 ปี มีความเห็นว่าเหตุรุนแรงเมื่อคืนวันที่ 16 เป็นการแสดงสัญลักษณ์ว่าบีอาร์เอ็นไม่พอใจที่การเจรจาไม่คืบหน้าและที่ผู้ก่อความไม่สงบเลือกโจมตีเป้าหมายอ่อนแอเพราะมีเป้าหมายทำลายเศรษฐกิจและตอบโต้ที่คนของเขาถูกวิสามัญฆาตกรรมหลายรายในระยะนี้
จากสถิติของศูนย์มุสลิมศึกษา พบว่าตั้งแต่เดือนมกราคมถึง 30 กรกฎาคม เจ้าหน้าที่มีการปิดล้อมปะทะกับคนร้ายเจ็ดครั้งและคนร้ายถูกวิสามัญฆาตกรรมไปแล้ว 14 คน
“จากการประเมินเบื้องต้น คาดว่าปีนี้จะรุนแรงกว่าปี 2564 ที่ตลอดทั้งปีคนร้ายตาย 20 กว่าคน “อ.ศรีสมภพกล่าวและเสริมว่า ความรุนแรงยังมีต่อไปตราบใดที่การเจรจายังไม่สามารถหาข้อยุติได้
“ผมคิดว่า การเจรจาไม่คืบหน้าเพราะบีอาร์เอ็น แตกออกเป็นหลายกลุ่มหลายฝ่าย และผู้ที่เป็นตัวแทนไปเจรจาเป็นแค่ผู้นำรัฐกลางที่อยู่ในเมืองไทย ผู้นำระดับสูงส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในต่างประเทศ การเจรจาหน้างานมันจึงไม่ค่อยคืบหน้า”
อ.ศรีสมภพ กล่าวด้วยว่า ความรุนแรงที่ยืดเยื้อมานานเกือบสองทศวรรษทำให้ประเทศไทยเสียงบประมาณและ
กำลังคนไปมากมายมหาศาล
“ในห้วงเวลา 18 ปีที่ผ่านมา ประเทศใช้งบประมาณในการแก้ปัญหาชายแดนใต้ไปแล้วกว่า 500,000 ล้านบาท
(ห้าแสนล้านบาท) เราใช้กำลังคนทั้งทหาร ตำรวจ และพลเรือนกว่า 60,000 คน ระดมกันมาแก้ปัญหาสามจังหวัดภาคใต้ทั้งใช้การปราบปราม และพัฒนา ผมคิดว่าเราใช้งบประมาณ และ กำลังคนมากกว่าเมื่อคราวต่อสู้กับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยเสียอีก”
อ.ศรีสมภพ ประเมินว่า บีอาร์เอ็น มีหน่วยปฏิบัติที่ใช้อาวุธก่อกวนทำร้ายมีไม่เกิน 8,000 คน และแนวร่วมผู้สนับสนุนผู้ก่อความสงบมีไม่ถึง 10% ของประชากรในสามจังหวัดคือ ปัตตานี ยะลา และ นราธิวาส
จากเหตุการณ์รุนแรงที่ปะทุขึ้นมาตั้งแต่เดือนมกราคม 2547 ถึงเดือนมิถุนายน 2565 ความรุนแรงในปลายด้ามขวานของประเทศไทยได้คร่าชีวิตคนไปแล้ว 7,373 ราย และได้รับบาดเจ็บ 13,670 คน อ.ศรีสมภพกล่าว “ถึงวันนี้ไม่สามารถบอกได้ว่าความรุนแรงมันจะจบสิ้นลงเมื่อไหร่”
แต่พลเอก วัลลภ รักเสนาะ หัวหน้าคณะพูดคุยเพื่อสันติสุขจังหวัดชายแดนใต้ ตั้งเป้าหมายว่าให้จบลงให้ได้ในปี 2570
พลเอกวัลลภ ให้สัมภาษณ์พิเศษกับผู้สื่อข่าวเบนาร์นิวส์ หลังจากที่ได้เจรจากับตัวแทนฝ่ายบีอาร์เอ็นตัวต่อตัวเป็นครั้งที่ 4 ที่สถานเอกอัครราชทูตไทย ในกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซียว่า
นายราฮิม นูร์ ผู้อำนวยความสะดวกของมาเลเซีย และ นายอานัส อับดุลเราะห์มาน หัวหน้าคณะพูดคุยของกลุ่มบีอาร์เอ็น ได้กล่าวว่าการประชุมครั้งนี้ได้ผลลัพธ์ที่ดี โดยมีการตกลงใน“หลักการโดยทั่วไป” (General Principles) ในสามหัวข้อคือ การลดสถานการณ์ความรุนแรงในพื้นที่ การปรึกษาหารือในพื้นที่ และทางออกตามวิถีการเมือง
ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะยุติความรุนแรงในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นการชั่วคราวในระหว่างเดือนรอมฎอนและทางการไทยจะอนุญาตให้สมาชิกกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบกลับมาเยี่ยมบ้านในเดือนศักดิ์สิทธิ์ได้ในห้วงเวลานี้
เบนาร์นิวส์ : จากการที่ทั้งสองฝ่ายได้เห็นชอบในหลักการทั่วไปว่าด้วยกระบวนการพูดคุยเพื่อสันติสุข (General Principles) ซึ่งรวมถึงการหาทางออกทางการเมืองภายใต้กรอบรัฐธรรมนูญของประเทศไทย ซึ่งเป็นรัฐเดี่ยวแบ่งแยกมิได้นั้น หมายความว่าบีอาร์เอ็น ล้มเลิกความพยายามในการเรียกร้องเอกราชของเขาแล้วหรือเปล่า
พล.อ.วัลลภ : สำหรับ General Principle ที่ดำเนินการออกมาก็เป็นความเห็นที่เราได้ดำเนินการพูดคุยเป็นเวลาหลายเดือนด้วยกันจนได้ผลลัพธ์ออกมาตามที่แถลงตรงนี้ ผมคิดว่าประเด็นที่บีอาร์เอ็นยอมรับการอยู่ใต้รัฐธรรมนูญของไทย ทั้งสองฝ่ายเห็นว่าน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดที่จะได้แสวงหาทางออกที่จะทำให้เกิดสันติสุขร่วมกันอย่างถาวร
เบนาร์นิวส์ : ท่านเลขาฯ เห็นว่าบีอาร์เอ็นจะพยายามใช้การพูดคุยเพื่อแสวงหาเอกราชอยู่หรือเปล่า
พล.อ.วัลลภ : จากข้อตกลง ผมคิดว่าบีอาร์เอ็นเองก็พยายามที่จะให้ชุมชนของตนเองมีสิทธิอะไรต่างๆ ทางการเมืองมากยิ่งขึ้น แต่ก็คิดว่าเราคงร่วมกันหาทางออกที่ดีที่สุด ซึ่งบีอาร์เอ็นเองก็เห็นว่าการอยู่ใต้รัฐธรรมนูญไทย น่าจะมีทางออกอื่นที่ตอบสนองความต้องการของบีอาร์เอ็นได้
เบนาร์นิวส์ : ประเทศไทยจะยินยอมได้มากน้อยแค่ไหน จะมีโอกาสยินยอมให้พื้นที่ภาคใต้เป็นเขตปกครองตนเองหรือไม่
พล.อ.วัลลภ : ตอนนี้ เราคงจะต้องใช้การปรึกษาหารือในพื้นที่เพื่อหาแนวทางที่เป็นที่ยอมรับได้ของทุกฝ่าย แล้วก็เป็นแนวทางที่ดีที่สุด เพื่อจะตอบสนองทุกฝ่ายได้อย่างเหมาะสม
เบนาร์นิวส์ : ประชาชนเคยมีความหวังลมๆ แล้งๆ เกี่ยวกับกระบวนการพูดคุยที่ผ่านมาแต่กับกระบวนการพูดคุยในครั้งนี้ที่เริ่มมาตั้งแต่เดือนมกราคม 2563 คิดว่าประชาชนจะคาดหวังได้มากขึ้นหรือไม่ การพูดคุยครั้งนี้แตกต่างจากครั้งก่อนๆ อย่างไร
พล.อ.วัลลภ : จากการพูดคุยที่ผ่านมา บางทีการดำเนินการนี่อาจจะไม่มีความต่อเนื่องเพียงพอ ทำให้ประชาชนมีความคาดหวังต่อกระบวนการพูดคุยน้อยลง แต่จากนโยบายของรัฐบาลและการพูดคุยครั้งนี้ที่มีความต่อเนื่อง ก็คิดว่าประชาชนเริ่มกลับมาเห็นความสำคัญของการพูดคุยมากขึ้น.. จากการพูดคุยกับบีอาร์เอ็นสี่ครั้งที่ผ่านมา ก็มีความคืบหน้าที่สำคัญ โดยเฉพาะการพูดคุยครั้งนี้ ที่ตกลงในเรื่องของ General Principle และเรื่องของความริเริ่มรอมฎอนสันติสุข ก็คิดว่าจะทำให้ประชาชนหันกลับมาสนใจและมีความหวังกับกระบวนการพูดคุยสันติสุขนี้มากขึ้น
เบนาร์นิวส์ : ถ้าเกิดจะต้องหารือในประเด็นการหาทางออกทางการเมือง สักหนึ่งประเด็น ท่านเลขาฯ คาดว่าจะต้องใช้เวลายาวนานสักเท่าไร
พล.อ.วัลลภ : เราหวังว่าจะหาทางแก้ปัญหาได้ในปี 2570 ซึ่งเป็นแผนใหญ่ของรัฐบาล เพราะฉะนั้น เราก็พยายามที่จะดำเนินการในเรื่องของการพูดคุยให้เสร็จสิ้นในแผนของรัฐบาลนี้
เบนาร์นิวส์ : การที่จะให้บีอาร์เอ็นไปประกอบศาสนกิจ และเฉลิมฉลองฮารีรายอที่บ้านได้ ฝั่งบีอาร์เอ็นจะไม่ใช้ความรุนแรงและไม่ถืออาวุธ ประเด็นนี้จะมีการติดตามการปฏิบัติได้อย่างไร ในเมื่อสมาชิกบีอาร์เอ็นมีความกลมกลืนกับในพื้นที่ จะแยกแยะอย่างไรว่าใครเป็นบีอาร์เอ็น ใครเป็นประชาชนทั่วไป
พล.อ.วัลลภ : ในห้วงรอมฎอน เราอยากจะให้ประชาชนมุสลิมทุกฝ่ายทั้งในประเทศและนอกประเทศ สามารถประกอบศาสนกิจได้อย่างเสรีและปลอดภัย ขณะเดียวกัน กลุ่มของขบวนการบีอาร์เอ็นจะเข้าไปโดยไม่ถืออาวุธ เราก็ยินดี
เบนาร์นิวส์ : ถ้าเกิดจะต้องหารือในประเด็นการหาทางออกทางการเมือง สักหนึ่งประเด็น ท่านเลขาฯ คาดว่าจะต้องใช้เวลายาวนานสักเท่าไร
พล.อ.วัลลภ : เราหวังว่าจะหาทางแก้ปัญหาได้ในปี 2570 ซึ่งเป็นแผนใหญ่ของรัฐบาลเพราะฉะนั้น เราก็พยายามที่จะดำเนินการในเรื่องของการพูดคุยให้เสร็จสิ้นในแผนของรัฐบาลนี้
…ต้องตัดบทสัมภาษณ์ตรงที่ พล.อ.วัลลภหวังว่าจะแก้ปัญหาให้ได้ภายในรัฐบาลนี้คือปี 2570 นั้นหมายความว่า
ตอนที่มอบหมายภารกิจให้พล.อ.ประยุทธ์ตั้งใจว่าท่านยังเป็นหัวหน้ารัฐบาลในวันที่การเจรจาเพื่อสันติสุขภาคใต้ได้ข้อยุติในปี 2570
แต่หากพิเคราะห์จากสภาพความเป็นจริง การเจรจาที่เริ่มมาตั้งแต่ปี 2563 ถึงวันนี้ยังพูดกันได้เพียง “หลักการทั่วไป” ยังไม่ได้ลงรายละเอียดข้อใดข้อหนึ่ง
คอลัมน์นี้จึงต้องเห็นฟ้องกับความเห็นของอ.ศรีสมภพว่าความรุนแรงในสามจังหวัดชายแดนไม่รู้จะจบสิ้นลงเมื่อไหร่
งบประมาณที่จ่ายไปแล้วกว่าห้าแสนล้านบาทก็ต้องบานปลายต่อไป กำลังทหาร ตำรวจ และ พลเรือนกว่า
หกหมื่นคนก็ต้องเสียสละต่อไป
เพื่อให้ธุรกิจสงคราม ยังคงดำรงอยู่คู่กับสามจังหวัดภาคใต้ปลายด้ามขวานของประเทศไทย
สุทิน วรรณบวร



