วันพุธที่ 12 พฤศจิกายน 2025
  • Login
ปัตตานี
  • ปัตตานี
  • ข่าว
  • กิจกรรม
  • หางาน
  • ธุรกิจ
  • ร้านค้า
  • วิถีชีวิต
    • คนสำคัญ
  • สถานที่ท่องเที่ยว
  • สถานศึกษา
  • ผู้สนับสนุนเว็บ
  • ติดต่อเรา
No Result
View All Result
  • ปัตตานี
  • ข่าว
  • กิจกรรม
  • หางาน
  • ธุรกิจ
  • ร้านค้า
  • วิถีชีวิต
    • คนสำคัญ
  • สถานที่ท่องเที่ยว
  • สถานศึกษา
  • ผู้สนับสนุนเว็บ
  • ติดต่อเรา
No Result
View All Result
ปัตตานี
No Result
View All Result
Home ข่าว

คนรุ่นใหม่บนเส้นทางที่ต้องเลือกระหว่าง “ถูกต้อง” หรือ “ถูกใจ”

ปัตตานี by ปัตตานี
4 ปี ago
in ข่าว
Reading Time: 1min read
158
0
100
SHARES
199
VIEWS
Share on FacebookShare on TwitterSent to LINE friend



พิมพ์ชนก ฤทธิ์รักษา น.ศ.ปี 3 บทความนำเสนอในวิชาการเขียนสำหรับบรรณาธิการ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ม.อ.ปัตตานี

เรื่องๆ หนึ่งในยุคสมัยหนึ่งบรรทัดฐานทางสังคมถูกกำหนดว่า “ถูกต้อง” แต่เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไปสู่อีกยุคสมัยหนึ่งเรื่องเดิมนั้นอาจกลายเป็น “ไม่ถูกต้อง” ดังนั้นทุกสังคมบนโลกจำเป็นต้องทำความเข้าใจในเรื่องนี้ โดยเฉพาะกับสังคมไทยที่กำลังมีความคิดเห็นแตกต่างระหว่าง “คนรุ่นเก่า” กับ “คนรุ่นใหม่” จนดูเหมือนว่าได้นำไปสู่ความขัดแย้งที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

“ถูกต้อง” แต่ไม่ “ถูกใจ” ใครบางคน

“ถูกใจ” แต่ไม่ “ถูกต้อง” ในบางเรื่อง

คำกล่าวที่ยกมานี้ดูเรียบง่าย แต่เป็น 2 คำกล่าวที่ดูจะหาคำตอบไม่ได้ว่าอะไรคือเรื่องของความถูกต้อง และอะไรคือเรื่องของความถูกใจ หากจะเปรียบเป็นของ 2 สิ่งโดยให้ความถูกต้องคือ “เงิน” และความถูกใจคือ “ความรัก” แล้วคนส่วนใหญ่ในสังคมจะเลือกสิ่งใดกันเล่า แน่นอนยุคสมัยนี้อาจจะได้คำตอบว่าใครๆ เขาก็ชอบที่จะเลือกเงินมากกว่า แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ใช่หรือไม่ว่าเขาเหล่านั้นก็ต้องการความรักด้วยเช่นกัน

เช่นเดียวกันหากถามถึงความถูกต้องและความถูกใจกับคนรุ่นเก่า คำตอบสวยหรูที่ทุกคนจะเลือกคงไม่พ้นคำว่าความถูกต้อง อันเป็นความถูกต้องตามหลักจารีต ขนบธรรมเนียมและวัฒนธรรม แต่เราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าบางครั้งสิ่งที่ถูกต้องอาจไม่ถูกใจคนรุ่นใหม่ ไม่เว้นแม้แต่ความชอบหรือรสนิยมส่วนตัว เพียงเพราะเป็นความขัดแย้งกันของความเชื่อต่างยุคสมัย

ในอดีตคนเฒ่าคนแก่มีความเชื่อว่า “ชาย-หญิง” คือของคู่กัน ผู้ชายต้องคู่กับผู้หญิงเท่านั้น ผู้ชายจะคู่กับผู้ชายหรือผู้หญิงจะคู่กับผู้หญิงไม่ได้ เพราะมันไม่ถูกต้อง แล้วใครเป็นคนกำหนดว่าสิ่งนี้สิ่งนั้นไม่ถูกต้อง นั่นเป็นสิ่งที่คนเรายากที่จะย้อนกลับไปหาคำตอบได้ และเช่นเดียวกันคนปัจจุบันก็มักไม่คิดจะหาคำตอบในเรื่องนี้เช่นกัน

เวลานี้ “เพศทางเลือก” มีหลากหลายมากมายยิ่งขึ้นเรื่อยๆ หรือมีคำเรียกที่ได้รู้จักแพร่หลายล่าสุดว่า LGBTQ ซึ่งแต่ละตัวอักษรคือคำย่อ เริ่มจาก L มาจากคำว่า Lesbian คือกลุ่มผู้หญิงรักผู้หญิง, G มาจากคำว่า Gay คือกลุ่มชายรักชาย, B มาจากคำว่า Bisexual คือกลุ่มที่รักได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง, T มาจากคำว่า Transgender คือกลุ่มคนข้ามเพศ เป็นได้ทั้งจากชายข้ามสู่การเป็นเพศหญิง หรือหญิงข้ามสู่การเป็นเพศชาย และ Q มาจากคำว่า Queer คือกลุ่มคนที่พึงพอใจต่อเพศใดเพศหนึ่ง โดยไม่ได้จำกัดในเรื่องเพศและความรัก

ปัจจุบันคนรุ่นใหม่หันมาคบเพศเดียวกันมากขึ้น ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม แต่สิ่งที่เรายังปฏิเสธไม่ได้คือคนรุ่นเก่า ยิ่งที่เป็นผู้ใหญ่หัวโบราณด้วยแล้วยิ่งไม่ยอมรับในความหลากหลายทางเพศนี้ กลับมองว่าเป็นเรื่องผิดธรรมชาติ ผิดแผกไปจากความคิดหรือค่านิยมเดิมของตน รวมทั้งกฎหมายในปัจจุบันนี้ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้เอื้อต่อกลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศเท่าที่ควร

แม้แต่ในต่างประเทศ เช่น ประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งถือว่าเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วเป็นอันดับต้นๆ ของเอเชียและเป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ แต่กลับเป็นอีกสังคมที่มีการปิดกั้นและไม่ยอมรับความหลากหลายทางเพศจนเป็นที่รับรู้กันทั่ว เช่นเดียวกับประเทศไทยหรืออาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ

ในประเทศเกาหลีใต้แม้คนรุ่นใหม่จำนวนมากจะออกมาเรียกร้องความเท่าเทียมทางเพศ แต่ คิม ฮุน-วุง (Kim Hyun-Woong) รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม กลับยังออกมากล่าวว่า ไม่มีเกย์ในสังคมของเขา ทั้งในเรื่องค่านิยมและบรรทัดฐานด้วย เพราะฉะนั้นเขาเชื่อว่าคนเกาหลีใต้ควรจะต้องต่อต้านในเรื่องนี้ จึงเห็นได้ชัดว่าแม้แต่ประเทศพัฒนาแล้วก็ยังปิดกั้นการยอมรับค่านิยมเกี่ยวกับเรื่องเพศ

สำหรับในประเทศไทยเราจะเห็นได้ว่ากลุ่ม LGBTQ ได้ออกมาเรียกร้องสิทธิในการสมรสอย่างเท่าเทียมมาอย่างต่อเนื่อง โดยเรียกร้องให้แก้ไขกฎหมายเพื่อไม่ให้เกิดการแบ่งแยกคนรักต่างเพศกับกลุ่ม LGBTQ ออกจากกัน รวมถึงสิทธิที่คู่สมรสควรจะได้รับอย่างเดียวกับคู่สมรสตามเพศสถานะที่สังคมยอมรับ แม้ที่ผ่านมาคณะรัฐมนตรีจะให้ความเห็นชอบและให้เรื่องนี้เป็นความถูกต้องในสังคมแล้วก็ตาม แต่นั่นก็อาจจะไม่ถูกใจผู้ใหญ่หัวโบราณอีกเช่นเคย แต่กลับถูกใจเหล่า LGBTQ อย่างแน่นอน

แม้ในทางกฎหมายเรื่องเหล่านี้กลายเป็นเรื่องที่ถูกต้องไปแล้ว แต่ชุดความคิดของคนสมัยก่อนที่ยังปลูกฝังอยู่ในคนรุ่นเก่า ตัวอย่างบางครอบครัวพ่อแม่ปู่ย่าตายายก็ยังคงมองว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องและถูกใจอยู่ดี ในชีวิตจริงยังมีกลุ่ม LGBTQ อีกหลายคนที่ต้องกระทำในสิ่งที่ไม่ถูกใจ เพียงเพื่อตอบสนองความถูกต้องและถูกใจของครอบครัว

สิ่งที่คนในกลุ่ม LGBTQ มักโดนคนในสังคมใช้คำพูดเชิงเหยียดอยู่บ่อยๆ ยิ่งเวลาคู่รักเดินจับมือด้วยแล้วคือคำว่า “ระวังฟ้าผ่า” เพราะคนส่วนใหญ่ในสังคมยังมีทัศนะคติว่าการคบเพศเดียวเป็นเรื่องผิดธรรมชาติ ทั้งที่ในความเป็นจริงที่ผ่านๆ ก็มายังไม่เคยเห็นว่ามีคู่รักเพศเดียวกันคู่ไหนโดนฟ้าผ่าเพียงเพราะเดินจับมือกันในที่โล่งแจ้งเลยสักครั้ง

นอกจากเรื่อง LGBTQ แล้ว เรื่องของความถูกต้องและถูกใจยังพบเจอได้ในสถานศึกษาด้วย ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนหรือแม้แต่ในรั้วมหาวิทยาลัย ยกตัวอย่างง่ายๆ เรื่องของการลอกข้อสอบ เช่นเมื่อเด็กหญิง A ลอกข้อสอบเด็กหญิง B หากว่าจะต้องเลือกความถูกต้องก่อน แน่นอนว่าเด็กหญิง B จะต้องบอกเรื่องนี้ให้ครูทราบ แต่การกระทำนั้นจะทำให้เกิดความไม่ถูกใจจากเด็กหญิง A แต่ถ้าเด็กหญิง B เลือกความถูกใจ นั่นก็จะทำให้เด็กหญิง A ถูกใจไปด้วย เด็กหญิง B ก็จะเป็นคนที่ไม่มีความถูกต้อง เพียงประเด็นง่ายๆ แค่นี้ก็ชี้ให้เห็นได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้นว่า คนเราไม่สามารถเลือกความถูกต้องและถูกใจพร้อมๆ กันได้

หรือแม้แต่ข่าวที่เรามักได้ยินกันบ่อยๆ ในแวดวงการศึกษา ซึ่งเป็นเรื่องราวระหว่างครูกับเด็กนักเรียน โดยเฉพาะเรื่องที่ครูผู้ชายล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็กนักเรียนหญิง และฝ่ายเด็กนักเรียนไม่สามารถบอกใครได้เนื่องจากความอับอาย ผู้อ่านคิดว่านี่เป็นเรื่องที่เหมาะสมหรือถูกต้องแล้วหรือ

ในเรื่องของจรรยาบรรณของวิชาชีพครูนั้น ในข้อที่ 1 ว่าด้วยจรรยาบรรณต่อตนเองระบุว่า ครูต้องมีวินัยในตนเอง พัฒนาตนเองด้านวิชาชีพ บุคลิกภาพและวิสัยทัศน์ให้ทันต่อการพัฒนาทางวิทยาการ เศรษฐกิจ สังคมและการเมืองอยู่เสมอ โดยต้องประพฤติและละเว้นการประพฤติตามแบบแผนพฤติกรรม ซึ่งในกรณีนี้ครูมีพฤติกรรมที่ประพฤติผิดจรรยาบรรณอย่างเห็นได้ชัด

ในด้านของพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ ในข้อที่ 2 ของจรรยาบรรณของวิชาชีพครูระบุว่า ประพฤติผิดทางชู้สาว หรือมีพฤติกรรมล่วงละเมิดทางเพศ สิ่งนี่คือสิ่งที่ไม่ถูกต้องที่เกิดขึ้นในวิชาชีพครูในปัจจุบันนี้ ไม่เพียงเท่านั้นเมื่อมีนักเรียนที่โดนกระทำออกมาพูดเรียกร้องให้ครูผู้กระทำผิดรับผิดชอบในการกระทำ สิ่งที่ได้ตามมาคือมีการไม่ถูกใจจากครูในโรงเรียนเดียวกัน

ขออนุญาตยกตัวอย่างกรณีของนักเรียนหญิงจากโรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดนครปฐมที่ได้ออกมาเปิดเผยว่า ได้ถูกล่วงละเมิดทางเพศจากครูในโรงเรียนหลายต่อหลายครั้ง สิ่งที่นักเรียนหญิงคนนี้ได้กลับไปคือ การที่โรงเรียนกดดันนักเรียนหญิงคนนี้ไม่ให้เปิดเผยข้อมูลอีก พร้อมขู่ว่าจะไม่ให้เรียนต่อในระดับชั้น ม.4 นี่คือสิ่งที่นักเรียนหญิงคนนี้สมควรได้รับแล้วใช่หรือไม่

มิหนำซ้ำผู้อำนวยการโรงเรียน ซึ่งก็เป็นผู้หญิงเช่นเดียวกับเด็กนักเรียนหญิงผู้เสียหายกลับกล่าวว่า “ครูชายที่ถูกกล่าวอ้างว่าล่วงละเมิดทางเพศนักเรียน เป็นครูสอนวิชาพลศึกษา ซึ่งตามปกติครูพละท่านนี้มีลักษณะนิสัยเป็นคนขี้เล่น เป็นกันเองกับนักเรียนและเพื่อนร่วมงาน” แน่นอนว่าจากการที่ผู้อำนวยการพูดเช่นนั้น ต้องนับเป็นเรื่องถูกใจครูชายคนนั้นเป็นแน่

หรือในข่าวอื่นๆ ที่เคยเกิดเหตุการณ์ในลักษณะเดียวกันนี้ บางครั้งครูในโรงเรียนไม่ว่าจะครูหญิงหรือครูชายกลับเข้าข้างเพื่อนร่วมงานของตนเอง ดังเช่นจากการที่ครูผู้หญิงของโรงเรียนแห่งหนึ่งได้กล่าวถึงนักเรียนที่ออกมาเปิดเผยเรื่องเหล่านี้ว่า “จะออกมาพูดให้ตนเองและโรงเรียนเสียหายทำไม” นี่คือคำกล่าวของครู แทนที่จะกล่าวในเชิงปกป้องลูกศิษย์ของตนเอง ที่ทำเช่นนั้นเพราะอะไร หรือเพื่อความถูกใจในหมู่คณะหรือองค์กรของตนเองหรือไม่

ในอดีตอาชีพครูเป็นอาชีพที่ถือว่าศักดิ์สิทธิ์และมีความน่าเคารพยกย่อง แต่ในปัจจุบันต้องถือว่าเป็นเพราะเกิดเรื่องราวเลวร้ายเหล่านี้ขึ้นบ่อยๆ ใช่หรือไม่ จึงทำให้ความศักดิ์สิทธิ์ของอาชีพครูที่เคยได้รับการยกย่องจากสังคมลดลงเรื่อยๆ ยิ่งในระยะหลังๆ มานี้ครูมักหันไปปกป้องเพื่อนร่วมงานด้วยกันมากกว่าเห็นใจลูกศิษย์ ยอมหันหลังให้กับความถูกต้อง เพื่อตอบสนองความถูกใจของคนในองค์กรของตน ความเสื่อมถอยในวิชาชีพยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

ในทางกลับกันถ้าครูเหล่านั้นเลือกความถูกต้อง ยอมทำในสิ่งที่ไม่ถูกใจผู้อำนวยการหรือผู้มีอำนาจในโรงเรียนแล้วจะเกิดอะไรขึ้นหรือไม่ ครูเหล่านั้นจะโดนแบนจากเพื่อนร่วมงานหรือไม่ นี่คงไม่มีใครสามารถให้คำตอบได้ แต่ก็ยังมีครูอีกไม่น้อยที่เลือกความถูกต้องตามจรรยาบรรณวิชาชีพของครู

ในเรื่องของจรรยาบรรณของครูต่อนักเรียนที่ว่า “ช่วยเหลือศิษย์ ผู้เรียนมาอยู่ในสถานศึกษาพร้อมด้วยประสบการณ์ และมีปัญหาที่แตกต่างกันออกไป ดังนั้นครูจึงมีหน้าที่ที่จะต้องสังเกตความผิดปกติหรือข้อบกพร่องของศิษย์ และพร้อมที่จะให้การช่วยเหลือได้อย่างทันท่วงที ไม่ให้ศิษย์ต้องก้าวถลำลึกลงไปในพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์” สิ่งนี้ก็นับเป็นอีกประเด็นให้คิดต่อเกี่ยวกับความถูกต้องและถูกใจได้ด้วยเช่นกัน

นอกจากเรื่องของ LGBTQ และเรื่องการล่วงละเมิดทางเพศภายในสถานศึกษาดังที่กล่าวมาแล้วนั้น ยังมีเรื่องที่เกิดขึ้นในปัจจุบันและเห็นได้ชัดยิ่งกว่าอีกด้วย นั่นคือ เรื่องของความรุนแรงที่เกิดขึ้นจากอาชีพที่ได้ชื่อว่าเป็น “ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์” หรือตำรวจนั่นเอง

ข่าวคราวความรุนแรงอันเกิดจากกลุ่มอาชีพตำรวจนี้ยังมีปรากฏให้เห็นอยู่สม่ำเสมอ ตำรวจมีหน้าที่ตรวจตรา รักษาความสงบ จับกุมและปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมาย แต่ในปัจจุบันเรื่องราวที่เป็นข่าวเกี่ยวกับตำรวจดูเหมือนจะทำอะไรต่อมิอะไรแทบจะเป็นตรงกันข้ามไปเสียหมด ในกรณีนี้เป็นการแสดงให้เห็นได้ชัดในเรื่องของการเลือกความถูกใจมากกว่าความถูกต้อง

ในเหตุการณ์ล่าสุดที่เป็นข่าวใหญ่ต่อเนื่องที่เกิดขึ้นจากการชุมนุมของประชาชน ฝ่ายตำรวจถูกกล่าวหาว่าใช้กำลังเกินกว่าเหตุจนมีการตั้งคำถามตามมามากมาย ส่วนคำตอบที่ได้นั้นกลับดูเหมือนว่าจะไม่มากมายหรือหลากหลายตามไปด้วย เช่น ทำไมตำรวจใช้แก๊สน้ำตา รถฉีดน้ำผสมสารเคมี ยิงแก๊สน้ำตาและกระสุนยางใส่ประชาชนเพื่อสลายผู้ชุมนุม ทำไมตำรวจมีสิทธิ์ทำร้ายทีมแพทย์อาสาในม็อบ ทำไมตำรวจถึงขับรถคุมขังชนสิ่งกีดขวางได้โดยไม่กลัวใครได้รับบาดเจ็บหรือข้าวของเสียหาย ฯลฯ

เชื่อหรือไม่ว่าคำตอบที่ได้จากฝ่ายตำรวจเองกลับเป็นไปในลักษณะเดียวกันหมดคือ “นายสั่งมา” จึงดูเหมือนประโยคคำตอบที่ได้รับไม่ทำให้เจ้านายผิดหวัง เป็นการทำเพื่อให้ถูกใจนาย เพราะผลจากการไม่ทำตามคำสั่งนั้นคือ การถูกลงโทษ ทั้งโทษทางวินัย ถูกสั่งย้ายหรือเป็นไปได้อีกอีกมากมายหลายทาง นี่จึงเป็นอีกเหตุผลที่ตำรวจผู้น้อยจะไม่เลือกทางที่จะสามารถทำในสิ่งที่ถูกต้องได้

ตามจรรยาบรรณของตำรวจแล้วระบุไว้ชัดเจนว่า “ต้องสำนึกในการให้บริการประชาชนด้านอำนวยความยุติธรรม และความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญและสิทธิมนุษยชน เพื่อให้ประชาชนมีความเลื่อมใส เชื่อมั่นและศรัทธา” แต่ดูเหมือนวงการตำรวจจะไม่เป็นเช่นนั้นเสียแล้ว

มีหลายครั้งที่ตำรวจทำผิดจรรยาบรรณ ที่มักเห็นกันได้มากก็คือการพกพาหรือใช้อาวุธไม่เป็นไปตามระเบียบแบบแผน ซึ่งกำหนดว่าต้องไม่จับหรือถืออาวุธเล็งอาวุธไปยังบุคคลโดยปราศจากเหตุอันสมควร แต่สังคมกลับเห็นได้จากภาพข่าวมากมายที่ปรากฏว่าตำรวจหันปืนเล็งเข้าใส่ประชาชนปรากฏเป็นภาพข่าวชัดเจนตลอดเวลา

อีกทั้งจรรยาบรรณของตำรวจยังระบุไว้ด้วยว่า “ต้องตระหนักว่า การใช้อาวุธ กำลังหรือความรุนแรง ถือเป็นมาตรการที่รุนแรงที่สุด ข้าราชการตำรวจอาจใช้อาวุธ กำลังหรือความรุนแรงได้ต่อเมื่อมีความจำเป็นภายใต้กรอบของกฎหมายและระเบียบแบบแผน หรือเมื่อมีผู้กระทำความผิด หรือผู้ต้องสงสัยใช้อาวุธต่อสู้ขัดขวางการจับกุม” ดูเหมือนจะผิดจรรยาบรรณอีก เนื่องจากมีการใช้มาตรการรุนแรงโดยไม่มีความจำเป็น ไม่ว่าจะเป็นการใช้รถน้ำแรงดันสูงฉีดใส่ประชาชน ยิงแก๊สน้ำตาและกระสุนยางใส่ประชาชน ขนาดสื่อมวลชนที่ไปทำหน้าที่ของเขาก็ยังได้รับบาดเจ็บไปด้วย ซึ่งเรื่องนี้ก็อยู่ภายใต้คำตอบสั้นๆ เหมือนเดิมที่ว่า “นายสั่งมา”

เกี่ยวกับเรื่องนี้ ผศ.ดร.ประจักษ์ ก้องกีรติ รองคณบดีฝ่ายวิจัยและบริการวิชาการ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้ทัศนะไว้อย่างน่าสนใจว่า “นายสั่งมา” เป็นประโยคที่ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ที่ประเทศไทย แต่เจ้าหน้าที่รัฐหลายประเทศหยิบยกมาอ้างเพื่อเป็นข้อแก้ตัวในการเผชิญหน้ากับประชาชนว่า นี่ไม่ใช่ความผิดของฉันนะ เป็นความผิดของเจ้านาย ถ้าเกิดประชาชนเป็นอันตรายอะไรไป ตัวเองจะได้ไม่รู้สึกต้องรับผิดชอบกับความร้ายแรงที่ทำลงไป พูดง่ายๆ ว่าเป็นการปัดความรับผิดชอบ

คำว่า “นายสั่งมา” ที่มักจะถูกใช้กล่าวอ้างนี้ ความจริงแล้วนายอาจไม่ได้ให้กระทำรุนแรงถึงเพียงนั้น หากแต่เกิดจากความถูกใจของตัวผู้กระทำเองหรือไม่ โดยถูกใจที่จะกระทำการดังกล่าวโดยไม่สนว่านี่คือสิ่งที่ถูกต้องหรือไม่ แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ผลที่ได้รับจากการกระทำนี้คือ ถูกใจกับทั้งตนเองและเจ้านายไปพร้อมๆ กัน แต่แน่นอนไม่ถูกใจประชาชน และที่สำคัญยิ่งคือ ไม่ถูกต้องตามหลักจรรยาบรรณวิชาชีพ

อย่างไรก็ตามเป็นที่รับรู้กันในสังคมมาต่อเนื่องแล้วว่า ไม่ว่าผลของการกระทำของตำรวจจะร้ายแรงแค่ไหน ผู้กระทำและอาจจะรวมถึงเจ้านายของเขาด้วย คนเหล่านั้นคงไม่รู้สึกผิดกับการกระทำเหล่านั้น ซึ่งก็สอดรับกับทัศนะที่ ผศ.ดร.ประจักษ์ ก้องกีรติ ได้กล่าวไว้ข้างต้นนั่นเอง

นอกจากนี้อีกอาชีพที่ดูเหมือนความถูกต้องจะเริ่มจางหายไปมาก ขณะที่ความความถูกใจได้คืบคลานเข้าไปทนที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน ซึ่งคงไม่พ้นผู้ทำหน้าที่ “สื่อมวลชน” ที่ต้องมีความซื่อสัตย์ สุจริต มีความมั่นคงในการแสวงหาข้อมูลข่าวสาร และนำเสนอข้อมูลข่าวสารอย่างครบถ้วน ตรงไปตรงมาและถูกต้อง

แต่เวลานี้ดูเหมือนสื่อช่องหลักๆ ในปัจจุบันกลับมิได้นำเสนอข้อมูลที่ตรงไปตรงมา หรือแทบไม่คำนึงถึงความถูกต้องเลยก็ว่าได้ ในอดีตสื่อมีอิทธิพลต่อสังคมมากมาย และได้รับการยอมรับว่ามีความน่าเชื่อถือมาก เนื่องจากผ่านการคัดกรองมาอย่างดี แต่ดูเหมือนปัจจุบันจะตาลปัตรหรือกลับด้านไปเสียแล้ว สื่อกลับไม่ได้นำเสนอข่าวที่ครบถ้วน หรือไม่คำนึงถึงความเป็นกลางแม้แต่น้อย

ขอยกตัวอย่างสื่อใหญ่ค่ายหนึ่งมีชื่อสมมุติว่า “N” ซึ่งได้พูดถึงความรุนแรงที่เกิดขึ้นจากการชุมนุมเหมือนเป็นเรื่องตลก ผู้ประกาศข่าวทางโทรทัศน์ช่วงนี้หัวเราะแบบอารมณ์ดีให้กับความรุนแรง และนำเสนอข่าวที่เข้าข้างอีกฝ่ายอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งตามจรรยาบรรณสื่อสากล 13 ข้อ มีข้อหนึ่งระบุไว้ว่า “ข่าวและข้อมูลที่นำเสนอทั้งหมดต้องเป็นความจริง” เพียงแค่ข้อนี้ก็ดูจะไม่สอดรับกันเสียแล้ว

หรือแม้แต่จรรยาบรรณสื่อยังระบุไว้ด้วยว่า “นำเสนอข่าว ข้อมูล โดยให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย” ประเด็นนี้ก็เห็นได้ชัดว่าสื่อมวลชนค่ายต่างๆ ช่วงดังกล่าวกลับมีการเอนเอียงไปอย่างชัดเจน จนสังคมมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าสื่อช่วงนั้นเข้าข้างฝ่ายใดกันแน่

นอกจากนี้แล้วจรรยาบรรณสื่อมวลชนยังระบุเพิ่มเติมด้วยว่า “ไม่เข้าร่วมกับพรรคการเมืองฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง” ในข้อนี้เห็นก็ได้ชัดยิ่งเช่นกัน สื่อมวลชนหลายค่ายหลายช่องมีส่วนร่วมทางการเมือง ผู้บริหารหรือคนใกล้ตัวผู้บริหารบางค่ายบางช่องกลับเป็นสมาชิกพรรคการเมือง นี่เป็นสิ่งที่ต้องถือว่าไม่ถูกต้องตามหลักจรรยาบรรณอย่างชัดเจน

อะไรหรือที่ทำให้สื่อมวลชนจำนวนหนึ่งทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้องได้ถึงเพียงนี้ ถือว่าเป็นเพราะเหตุผลทางการเมืองหรือไม่ ซึ่งจากข่าวที่ถูกนำเสนออกมาไม่นานนี้ชี้ชัดว่า เกิดกรณีที่ทางรัฐบาลได้เข้าไปแทรกแซงการทำงานของสื่อมวลชน นี่หรือไม่เป็นเหตุผลที่ทำให้ช่องสื่อมวลชนเหล่านี้หันไปทำในสิ่งที่ถูกใจฝ่ายที่ถืออำนาจรัฐ โดยไม่ได้คำนึงว่าสิ่งนั้นจะถูกต้องหรือไม่

เรืองชัย ทรัพย์นิรันดร์ สื่อมวลชนระดับบรรณาธิการอาวุโส เคยกล่าวไว้ว่า “สำคัญที่สุดของการเป็นนักการสื่อสารมวลชน คือมีจิตใจมั่นคงกับการปกครองในระบอบประชาธิปไตย และเชื่อมั่นในอำนาจอธิปไตยว่าเป็นของประชาชน ต้องไม่สนับสนุนระบบเผด็จการไม่ว่าในรูปแบบใดทั้งสิ้น” ประเด็นนี้สังคมคงต้องช่วยพิจารณาการทำหน้าที่ของสื่อมวลชนในปัจจุบันด้วยว่า ปัจจุบันสื่อมวลชนค่ายไหนสนับสนุนประชาธิปไตยหรือเผด็จการ

รวมถึงประโยคที่เรืองชัย ทรัพย์นิรันดร์ กล่าวไว้ด้วยว่า “เพราะสื่อมวลชน คือ สิทธิเสรีภาพของประชาชน ที่นำมาซึ่งความเป็นประชาธิปไตยโดยแท้” ประเด็นนี้สังคมก็ต้องช่วยกันพิจารณาด้วยว่า ปัจจุบันสื่อไร้ซึ่งสิทธิและเสรีภาพหรือไม่ แล้วกรณีที่มีเรื่องราวการเข้าไปแทรกแซงสื่อของผู้มีอำนาจรัฐนั้น สิ่งเหล่านี้มีผลต้องการทำหน้าที่ของสื่อให้เป็นไปแบบเพื่อความถูกต้องหรือเพื่อให้ถูกใจใครอย่างไรหรือไม่

ที่ผ่านมารัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่สืบทอดอำนาจมาถึงปัจจุบันได้เคยร้องขอคำสั่งศาลเพื่อปิดกั้นสื่อออนไลน์ ได้แก่ The Reporters, The Standard และ ประชาไท อีกทั้งยังเป็นที่รับรู้กันว่ามีความพยายามปิดกั้น วอยซ์ทีวี ทั้งนี้ก็เพื่อหาทางหยุดยั้งการรายงานข่าวเกี่ยวกับการประท้วงเรียกร้องประชาธิปไตย อีกทั้งไม่ต้องการให้มีข่าวเกี่ยวกับการปฏิบัติมิชอบของเจ้าหน้าที่รัฐต่อผู้ประท้วงเป็นที่ปรากฏต่อสาธารณชน

สิ่งนี้ยืนยันได้จาก แบรด อดัมส์ (Brad Adams) ผู้อำนวยการภูมิภาคเอเชีย ฮิวแมนไรท์วอทช์ ได้เคยได้เปิดเผยไว้แล้วว่า การปราบปรามผู้ชุมนุมเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามอย่างกว้างขวาง เพื่อกลั่นแกล้งและควบคุมสื่อให้กลายเป็นกระบอกเสียงของรัฐบาล

อีกตัวอย่างที่ไม่กล่าวไม่ได้คงเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับบุคคลผู้มีอำนาจในกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งไม่ใช่บุคลากรทางการแพทย์ที่ต่างกำลังเผชิญหน้ากับการแก้วิกฤตการระบาดของโรคโควิด-19 ในตอนนี้ สังคมเห็นและรับรู้กันได้แล้วว่า ทั้งผู้บริหารและเหล่าคณาจารย์ทางการแพทย์มีการแสดงออกที่ทำให้สังคมสะดุดหยุดกึกมากมายเกี่ยวกับเรื่องราวของความถูกต้องและถูกใจ

ยกตัวอย่างเช่นเมื่อครั้งมีการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกแรก หัวเรือใหญ่ของกระทรวงสาธารณสุขที่ไม่ได้มีความรู้หรือเชี่ยวชาญด้านสาธารณสุข แต่จบด้านวิศวกรรมศาสตร์จากเมืองนอกเมืองมามา เขาให้สัมภาษณ์อย่างมั่นใจในระหว่างนำทัพต่อสู่กันโรคติดต่อที่กำลังแพร่ระบาดหนักแบบซ้ำๆ ไว้ว่า “…มันคือโรคหวัดโรคหนึ่ง มองว่ามันก็คือโรคหวัดโรคหนึ่ง…”

แต่ดูเหมือนตอนนี้โรคหวัดที่ว่าจะมีอานุภาพร้ายแรงเสียจนทั้งกระทรวงสาธารณสุขและรัฐบาลก็คุมไม่อยู่ สิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้และเป็นปัญหาใหญ่คือการขาดแคลนวัคซีน ซึ่งเป็นผลมาจากการกำหนดให้ซิโนแวคและแอสตร้าเซนเนก้าเป็นวัคซีนหลักของไทย โดยคุณภาพก็เป็นที่ประจักษ์ไปทั่วโลก แถมยังเกิดเรื่องราวที่ทำให้คนจำนวนมากไม่ยอมรับในฝีมือด้านการบริหารจัดการกับวิกฤตโรคระบาด อีกทั้งคณาจารย์ทางการแพทย์ก็ยังได้สร้างความสับสนต่างๆ นานาตามมามากมาย อย่างกรณีคนกลุ่มไหนควรจะได้ฉีดก่อน หรือการฉีดวัคซีนไขว้หรือให้ฉีดวัคซีนแบบผสมสูตร เป็นต้น

แม้แต่การบริหารประเทศของคนระดับนายกรัฐมนตรีที่มีชื่อว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ยังปรากฏมีเรื่องราวที่สังคมเห็นว่าไม่มีความถูกต้องในหลายๆ กรณี โดยเฉพาะการเอื้อประโยชน์แก่กลุ่มทุน แน่นอนว่ามีหลากหลายกรณีมากที่ไม่ถูกใจประชาชน แต่กลับถูกใจใครบางคน

ท้ายที่สุดแล้วไม่ว่าทางเลือกต่างๆ เหล่านั้นจะเป็นทางที่ถูกต้องหรือถูกใจ เป็นไปได้ที่แต่ละแนวทางสามารถนำไปสู่การสร้างความสูญเสียให้เกิดขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นในระดับความรู้สึก ความน่าเชื่อถือ ความมั่นคง หรือแม้แต่ในทรัพย์สินและชีวิตก็ตาม เพราะยากที่ใครจะสามารถเลือกทั้งสองทางไปพร้อมๆ กันได้ ขอเพียงแต่ให้เมื่อเลือกแล้วทำให้เกิดความสูญเสียน้อยที่สุด

ระหว่างเส้นทางเลือกที่ทำให้ “ถูกใจ” แต่ก็อาจ “ไม่ถูกต้อง” หรือทางเลือกที่ “ถูกต้อง” แต่กลับอาจ “ไม่ถูกใจ” ใครจะต้องตัดสินใจเลือกเส้นทางไหนนั้น ในฐานะที่เวลานี้การดูแลสืบสานบ้านเมืองกำลังถูกถ่ายโอนจาก “คนรุ่นเก่า” ให้ไปอยู่ในมือของ “คนรุ่นใหม่” จึงอยากขอให้ทุกฝ่ายคิดและไตร่ตรองก่อนลงมือทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้

Tags: newsข่าวจังหวัดปัตตานี
Previous Post

เปิด 25 กมธ.ซ้อมทรมาน-อุ้มหาย มี “นักกิจกรรม-นักสิทธิฯ” ชื่อดัง ร่วมเพียบ

Next Post

รมว.แรงงาน ย้ำให้มั่นใจ ผู้ประกันตนทุกมาตราได้เงินเยียวยารอบ 2 ตามกำหนดเดิมเริ่ม 20 กันยายนนี้

ปัตตานี

ปัตตานี

เมืองงามสามวัฒนธรรม ศูนย์ฮาลาลเลิศล้ำ ชนน้อมนำศรัทธา ถิ่นธรรมชาติงามตา ปัตตานีสันติสุขแดนใต้

Related Posts

ข่าว

ม.อ.เผยผลวิจัย พบ.ผู้ป่วยปอดบวมจากโควิด เสี่ยงติดวัณโรคมากกว่าคนทั่วไป 7 เท่า

กุมภาพันธ์ 1, 2023
'สมชัย'-สงสัย-กกต.-แบ่งเขตเลือกตั้งผิด?-หลังเอาจำนวน-ผู้ไม่มีสัญชาติไทยมาคำนวณ
ข่าว

'สมชัย' สงสัย กกต. แบ่งเขตเลือกตั้งผิด? หลังเอาจำนวน ผู้ไม่มีสัญชาติไทยมาคำนวณ

มกราคม 31, 2023
ข่าว

ผู้ว่าหญิงปัตตานี นำทีมปั่นจักรยานแนะนำแหล่งท่องเที่ยว

มกราคม 29, 2023
ข่าว

อุตุฯเตือนดูแลสุขภาพอากาศหนาวเย็นลง

มกราคม 29, 2023
“นิพนธ์”เดินหน้าทำชายแดนใต้เป็นพื้นที่ความมั่นคงทางด้านอาหาร-|-เดลินิวส์
ข่าว

“นิพนธ์”เดินหน้าทำชายแดนใต้เป็นพื้นที่ความมั่นคงทางด้านอาหาร | เดลินิวส์

มกราคม 26, 2023
ข่าว

‘

มกราคม 26, 2023
Next Post

รมว.แรงงาน ย้ำให้มั่นใจ ผู้ประกันตนทุกมาตราได้เงินเยียวยารอบ 2 ตามกำหนดเดิมเริ่ม 20 กันยายนนี้

บทความ แนะนำ

No Content Available

หมวดบทความ

การก่อสร้าง การขนถ่ายสินค้า การขุด หรือเจาะบ่อน้ำ การค้าวัสดุก่อสร้าง การฆ่าสัตว์ การผลิต การบรรจุก๊าซ การผลิตน้ำมันพืช การผลิตน้ำแข็ง การผลิตปุ๋ยอินทรีย์ การผลิตรองเท้า การผลิตเส้นไหม การรีดโลหะ ผลิตเหล็ก การหล่อหลอม การกลึงโลหะ การเลี้ยงสัตว์ กิจกรรม ข่าว ตรวจหวย ธุรกิจ บริการซัก อบ รีด บริษัท ปัตตานี มูลนิธิ ร้านค้า วิถีชีวิต สถานที่ท่องเที่ยว สถานศึกษา สพป.ปัตตานี เขต 1 สพป.ปัตตานี เขต 2 สพป.ปัตตานี เขต 3 สพม.เขต 15 สมาคม สำนักงานจัดการเดินทาง หน่วยงานราชการ อบต. อาหาร เอสเอ็มอี แฟรนไชส์ โรงงาน โรงพยาบาล บริการสุขภาพ โรงเรียนกวดวิชา โรงเรียนศิลปะและกีฬา โรงเรียนสอนวิชาชีพ โรงเรียนสอนศาสนา โรงเรียนสามัญ โอทอป

เกี่ยวกับเรา ปัตตานี



เป็นศูนย์รวมในการนำเสนอข้อมูลเพื่อสนับสนุนธุรกิจด้านการท่องเที่ยวในจังหวัด และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นพร้อมทั้งให้ข้อเสนอแนะและ ให้คำแนะนำเพื่อเป็นประโยชน์แก่สมาชิก อีกทั้งยังเผยแพร่ข้อมูลเพื่อประโยชน์ในการศึกษา ค้นคว้า วิจัย ต่าง ๆ อีกด้วย

Unable to open file!