
“บิ๊กเกรียง” ร่วมกิจกรรมเกี่ยวข้าว พลิกนาร้าง เป็นนารัก สร้างสังคมพหุวัฒนธรรม สร้างสันติสุขในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ยันเป็นกิจกรรมที่ดี นำสู่การพัฒนาคุณภาพชีวิต สร้างสันติสุขในพื้นที่ เพื่อสร้างความผูกพัน แก้ปัญหาความรุนแรงได้
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 13 ก.พ.64 ที่แปลงนาข้าววัดโพธิธาราม หมู่ที่ 3 บ้านละโพ๊ะ ต.ป่าไร่ อ.แม่ลาน จ.ปัตตานี สถาบันพระปกเกล้า โดยจังหวัดปัตตานี ในนามของข้าราชการพนักงานศูนย์พัฒนาการเมือง คณะนักเรียนพหุวัฒนธรรม ตำบลป่าไร่ และชาวนาผู้ร่วมโครงการเกษตรอินทรีย์เพื่อความมั่นคงทางอาหารต่อต้านภัย covid-19 และพี่น้องประชาชนในพื้นที่ ได้จัดกิจกรรมเก็บเกี่ยวข้าวผลผลิตโครงการเกษตรนารวมผลิตข้าวอินทรีย์ ขึ้น ด้วยโครงการเสริมสร้างระบบฐานรากเครือข่ายเศษรฐกิจชุมชน และเสริมสร้างความเข้มแข็งของพลเมืองภายใต้สภาพสังคมพหุวัฒนธรรม

ซึ่งเป็นโครงการที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ยุทธศาสตร์ที่ 4 ด้านการพัฒนา และเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ และสอดคล้องกับแผนปฏิรูปประเทศตามรัฐธรรมนูญ (สังคม-เศรษฐกิจ) และได้วางยุทธศาสตร์ให้นักเรียนพลเมืองพหุวัฒนธรรม ทำกิจกรรมสอดรับกับโครงการดังกล่าว คือ กิจกรรมสาขาเกษตรนารวมผลิตข้าวอินทรีย์ จำนวน 100 ไร่

เพื่อสนับสนุนนโยบายความมั่นคงทางอาหารของรัฐบาล หลังเหตุการณ์โรคระบาดโควิด-19 ยุติ และสร้างสังคมสันติสุขภายใต้หลักการ “สงวนจุดที่ต่างสร้างวัฒนธรรมร่วมพุทธ/มุสลิม ทำนาผลิตข้าว เพื่อสร้างเป็นวัฒนธรรมร่วมเสริมฐานความเข้มแข็งของพลเมืองภายใต้สภาพสังคมพหุวัฒนธรรม สร้างขวัญกำลังใจแก่ นักเรียนพลเมือง และเกษตรกรชาวนาในพื้นที่

โดยมี พล.ท.เกรียงไกร ศรีรักษ์ แม่ทัพภาคที่ 4/ ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 เดินทางเป็นประธานในพิธี พร้อมกับลงเกี่ยวข้าวร่วมกับชาวบ้าน และเกษตรกร กลุ่มมวลชนที่มาร่วมกิจกรรม สร้างความอบอุ่น แสดงออกถึงความร่วมมือ ร่วมแรง ร่วมใจ เป็นสังคมพหุวัฒนธรรมที่พี่น้องไทยพุทธ และมุสลิม อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข

แม่ทัพภาคที่ 4 กล่าวว่า เมื่อรับทราบข่าวกิจกรรม ก็รีบตอบรับทันที ไม่ว่างก็ต้องว่าง เพราะเป็นกิจกรรมที่น่าสนใจ ดีใจที่มาร่วมกิจกรรมสำคัญนี้ ซึ่งกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ถือว่าเป็นนโยบายเร่งด่วน 1 ใน 5 งาน ที่ต้องดำเนินการ ให้สังคมมีความเป็นพหุวัฒนธรรม การมีส่วนร่วมของทุกภาค

ส่วนในการช่วยแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ พัฒนาคุณภาพชีวิต สร้างสันติสุขในพื้นที่ “พลิกนาร้าง เป็นนารัก ผูกรัก และสามัคคีกัน” ซึ่งปัจจุบัน เหตุการณ์ความรุนแรงในพื้นที่ลดลง แต่กว่าจะมาถึงวันนี้ เราสูญเสียมาไม่น้อยเลย ถ้าไม่ได้ความร่วมมือ แสวงหาทางออกจากเวทีต่างๆ ผ่านการขับเคลื่อนของสภาสันติสุขตำบล ทุกความต้องการของพี่น้องประชาชน เข้าสู่การทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐเข้าสู่กระบวนการตอบสนองต่อความต้องการของพี่น้องประชาชนแล้ว

“ความสงบสุขและสันติสุขก็จะไม่เกิดขึ้น สันติวิธี และการหันหน้าคุยกัน จะสร้างความผูกพัน แก้ปัญหาความรุนแรงได้ กิจกรรมวันนี้ถือเป็นการได้ปรับทุกข์ผูกมิตรกัน เป็นต้นแบบของความดีงามทางสังคมพหุวัฒนธรรม ให้คนภายนอกได้เห็นน้ำใจ ไมตรีของคนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ไทยพุทธ มุสลิม อยู่ร่วมกันได้ อย่างยั่งยืน” มทภ.4 กล่าว

