วันอาทิตย์ ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2565, 17.14 น.
“บิ๊กโจ๊ก”ฮึ่ม!ลุยจับ 19 ผู้ต้องหาเกี่ยวข้อง “เรือประมงปลอมสัญชาติ” หวังจัดระเบียบประมงน่านน้ำไทย ยัน ใครเกี่ยวข้องฟันเรียบ พร้อมเยี่ยมลูกเรือเขมรได้รับบาดเจ็บกรณีถูกทำร้ายในเรือประมงที่ปัตตานี
16 มกราคม 2565 ที่ห้องประชุม ภ.จว.สงขลา พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผู้ช่วย ผบ.ตร.) ในฐานะประธานคณะทำงานเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจสอบ ควบคุม เฝ้าระวังการทำประมงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ประชุมเร่งรัดคดี 5 เรือประมงปลอมแปลงสัญชาติผิดกฎ IUU พร้อมด้วย พล.ต.ต.กฤษฎา แก้วจันดี รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 (รอง ผบช.ภ.9) และ พ.ต.อ.กิตติชัย สังขถาวร รอง ผบก.ภ.จว.สงขลา กรมเจ้าท่า กรมประมง กรมศุลกากร และพนักงานสืบสวนสอบสวน
คดีดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 2 มกราคม 2565 พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ นำเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบเรือที่อู่เรือหมู่ 2 ต.หัวเขา อ.สิงหนคร จ.สงขลา หลังตรวจยึดไว้ 5 ลำ ที่มีพฤติการณ์การปลอมแปลงชื่อบริเวณหัวเรือ ปิดบังอำพรางชื่อและสัญชาติเรือ รายละเอียดในเอกสารไม่ตรงกับตัวเรือจริง ทั้งสัญชาติ ขนาดและเครื่องยนต์ และแจ้งการเข้าเทียบท่าช้ากว่ากำหนด โดยสามารถออกหมายจับผู้กระทำผิดได้ 18 ราย ติดตามจับกุมได้ 16 ราย ในความผิดฐาน “ลักลอบนำเข้าเรือประมงเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ผ่านพิธีการศุลกากร” ตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ.2560 และ “ปลอมแปลงหรือปิดบังเครื่องหมายเรือประมงหรือทะเบียนเรือประมง” ซึ่งเป็นความผิดตาม พระราชกำหนดประมง พ.ศ.2558
จากนั้น ผู้ช่วย ผบ.ตร. สั่งการให้สืบสวนขยายผลดำเนินการกับผู้เกี่ยวข้องทุกราย โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ที่อาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องรู้เห็นเป็นใจ โดยล่าสุดหลังจากประชุมติดตามคดี ตำรวจสอบสวนพยานไปแล้วกว่า 18 ปาก ทั้งในส่วนของเจ้าพนักงานกรมเจ้าท่า เจ้าหน้าที่ศูนย์ปากคำด่านประมง เจ้าหน้าที่ด่านศุลกากรสงขลา พนักงานของอู่เรือ มีการรวบรวมเอกสารที่พบว่าเรือทั้ง 5 ลำไม่ได้ขออนุญาตเข้ามาในราชอาณาจักรตามมาตรการของกรมการประมงแต่อย่างใด โดยตำรวจสามารถออกหมายจับผู้ร่วมกระทำความได้เพิ่มอีก 4 ราย สามารถติดตามจับกุมได้อีก 3 ราย ทำให้คดีนี้มีผู้ต้องหา 22 ราย จับกุมได้แล้ว 19 ราย อยู่ระหว่างติดตามจับกุมอีก 3 ราย
พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า ตามนโยบาย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายการประมงแห่งชาติ ได้มอบหมายให้ตนเป็นประธานคณะทำงานเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจสอบ ควบคุม เฝ้าระวังการทำประมงไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยบูรณาการการทำงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง วันนี้ได้เดินทางมาประชุมติดตามความคืบหน้าคดีเรือประมง 5 ลำที่ปลอมแปลงสัญชาติ ที่ได้สั่งการให้มีการสืบสวนขยายผลดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้องทุกราย
ทั้งนี้ ขณะนี้มีการสอบสวนปากคำพยานผู้เกี่ยวข้องไปแล้วกว่า 18 ปาก สามารถออกหมายจับผู้ร่วมกระทำความได้เพิ่มอีก 4 ราย ติดตามจับกุมได้อีก 3 ราย สรุปคดีนี้มีผู้ต้องหา 22 ราย จับกุมได้แล้ว 19 ราย อยู่ระหว่างติดตามจับกุมอีก 3 ราย ซึ่งทุกรายทุกตัวละครที่เกี่ยวข้อง ตำรวจมีข้อมูลหมด และยังจะมีการขยายผลดำเนินการอีก หากพบว่าเกี่ยวข้องกับใครก็จะดำเนินคดีทันที ยืนยันว่าตนเข้ามาทำงานตามนโยบายรัฐบาลที่ต้องการให้ไทยปลอดการประมง IUU ทั้งระบบ ทุกคดีทุกหน้างานที่รับผิดชอบ ทำอย่างตรงไปตรงมา ทำตามพยานหลักฐาน ไม่มีการกลั่นแกล้งใคร บางเรื่องอาจจะกระทบต่อบางบุคคลที่อาจจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับการประมงผิดกฎหมาย จึงอาจจะมองว่าเจ้าหน้าที่เข้มงวดเกินไป แต่ทุกอย่างเป็นไปตามข้อกฎหมาย เพื่อผลประโยชน์ต่อส่วนรวม
“ขอเตือนใครที่เคยทำเรื่องเหล่านี้ ขอให้หยุด กลับมาทำให้ถูกต้องตามกฎหมาย เจ้าหน้าที่จะไม่ยุ่งกับประมงที่ถูกกฎหมาย แต่จะจัดการกับส่วนที่ผิดกฎหมาย ซึ่งเชื่อว่าเป็นเพียงส่วนน้อย เป็นมาตรการแยกน้ำดีน้ำเสีย ขอให้เชื่อมั่นว่าพวกเราเข้ามาทำงาน ทำเพื่อผลประโยชน์ของส่วนร่วมตามนโยบายรัฐบาล” พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ กล่าว
วันเดียวกัน พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ เดินทางไปเยี่ยมนายวี เมือน อายุ 38 ปี ลูกเรือชาวกัมพูชาที่ได้รับบาดเจ็บ ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจ ภ.จว.ปัตตานี ร่วมกับ กก.7 บก.รน. ได้ร่วมกันจับกุมนายโบเฮียม เฮียง อายุ 23 ปี สัญชาติกัมพูชา เป็นลูกเรือประมงซึ่งได้ลงมือทำร้ายร่างกายโดยการใช้อาวุธมีดสปาต้าฟันนายวี เมือน เพื่อนลูกเรือภายในลำเดียวกันจนได้รับบาดเจ็บสาหัส เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้ทราบเหตุจากการแจ้งเหตุผ่านทางวิทยุเพื่อขอความช่วยเหลือจากไต๋เรือ ก่อนจะนำเรือเข้าเทียบท่าที่ท่าเทียบเรือประมงปัตตานี อ.เมือง จ.ปัตตานี และเจ้าหน้าที่ตำรวจร่วมกับเจ้าหน้าที่ PIPO ได้จับกุมนายโบเฮียม ซึ่งรับว่าก่อเหตุดังกล่าว เนื่องจากไม่พอใจที่นายวี เมือน ชอบด่าพ่อแม่ของตน และชอบขโมยของของตน เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ดำเนินการจับกุมส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองปัตตานี ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
-005